374.เหรียญรุ่นแรก พ่อท่านล้าน เขมจิตโต ต.บางงอน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อฝาบาตร เลี่ยมพร้อมใช้ สภาพสวย 1600- พื้นที่ต้องมีราคาสูงกว่านี้มากครับเหรียญพ่อหลวงล้าน เขมจิตฺโต วัดขนาย รุ่นแรก พิมพ์ครึ่งองค์ ซึ่งเป็นพิมพ์นิยม พ่อหลวงล้านเป็นผู้ออกแบบรูปเหรียญและกำหนดอักขระยันต์ด้วยตนเอง รูปทรงเหรียญ ด้านหน้า เป็นรูปพ่อหลวงล้านครึ่งองค์อยู่ในซุ้มเก๋งจีนมีลายกนกรอบ ด้านล่าง เป็นยันต์หนุนธาตุทั้งสี่ นะมะพะทะ มีชื่อและเลข ๑ เป็นสัญลักษณ์ว่าจัดสร้างเป็นครั้งแรก ด้านหลังเป็นยันต์ มงกุฏิพระพุทธเจ้า อิติปิโสวิเสเสอิฯ ซึ่งมีพุทธคุณครอบจักรวาล มีพุทธคุณในการปกป้องภัยอันตรายทั้งปวง และยันต์หัวใจพระสีวลี นะชาลีติ ซึ่งมีพุทธคุณด้านความเมตตามหานิยม โชคลาภร่ำรวย และระบุปีที่สร้างคือ พ.ศ. ๒๕๔๘ จัดสร้างเป็นเนื้อทองฝาบาตร (ทองเหลือง) เพียงเนื้อเดียว จำนวน ๔,๐๐๐ เหรียญ
จากคำบอกเล่าของพ่อหลวงล้านและศิษย์ใกล้ชิด ทำให้พอจะทราบถึงมูลเหตุที่ได้มีการจัดสร้างเหรียญรุ่นนี้ว่า... ก่อนนี้เวลามีงานบุญชาวบ้านที่มากราบนมัสการหรือทำบุญที่วัดขนายได้เอ่ยปากขอรูปเหรียญของท่าน เพื่อไว้สักการะบูชาเป็นที่ระลึก ท่านก็ปฏิเสธไปทุกครั้ง เพราะท่านไม่มี ไม่เคยสร้าง จากนั้นเริ่มมีการปรึกษากันว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่จะต้องมีเหรียญของท่านเป็นที่ระลึกสำหรับผู้มาทำบุญที่วัด อีกประการหนึ่ง คือในปี 2548 เป็นมงคลโอกาสที่ท่านจะมีอายุครบ 72 ปี ถือเป็นการฉลองวัฒนมงคลอายุ 6 รอบด้วย จึงได้มอบหมายให้พระอาจารย์สถาพร สทฺธาทิโก (สัทธาทิโก) ลูกศิษย์ของท่าน ซึ่งก่อนนี้พำนักอยู่ที่สำนักสงฆ์ศรีไพรวัลย์ สังกัดวัดขนาย ( ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองศาลา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี )ให้เป็นธุระในการแกะพิมพ์และสั่งปั้มเหรียญจากทางโรงงานที่กรุงเทพฯ เมื่อปั้มเหรียญเสร็จแล้วพระอาจารย์สถาพรท่านก็ได้นำไปเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกที่วัดวิหาร(วัดหลวงพ่อแดง) หลังจากนั้นพ่อหลวงล้านก็ได้ประกอบพิธีอธิษฐานจิตเดี่ยวอีกหลายครั้งภายในอุโบสถวัดขนาย ทั้งสองพิมพ์ ก่อนจะนำออกแจกจ่ายแก่ชาวบ้านและศิษยานุศิษย์ มีส่วนหนึ่งออกให้เช่าบูชาเพื่อนำรายได้มาพัฒนาเสนาสนะภายในวัด ท่านบอกให้นำเหรียญของท่านใส่พานแล้วตั้งโต๊ะที่ใต้ต้นมะขามข้างหอระฆังหลังเก่า โดยตั้งไว้ข้ามวันข้ามคืนไม่ต้องมีผู้ใดเฝ้า ค่าเช่าบูชาก็ตามแต่ชาวบ้านจะศรัทธาทำบุญ บางคนก็ทำบุญ10 -20 บาท บางคนก็ทำบุญ 99 บาท บางคนหยิบดูแล้วก็วางกลับที่เดิม บางคนก็มองผ่านไม่สนใจ แต่เนื่องจากภายบริเวณวัดขนายเป็นที่ตั้งของโรงเรียนวัดเกษมบำรุงอยู่ด้วย ท่านเกรงว่าเด็กๆนักเรียนจะซุกซนรู้เท่าไม่ถึงการณ์นำเหรียญไปโยนเล่น ก็เลยให้เก็บเหรียญที่คงเหลือกลับมาที่ไว้กุฏิ หลังจากนั้นท่านก็แจกผู้ที่มีกราบนมัสการอยู่หลายปีจนเหรียญรุ่นนี้หมด จึงได้มีการจัดสร้างเหรียญรุ่นอื่นๆต่อมาถึงปัจจุบัน
แม้นว่าจะเป็นเหรียญที่มีอายุการสร้างไม่นานเพียง 7-8 ปีเท่านั้น แต่จากประสบการณ์ที่มีผู้นำไปบูชา เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เรื่องความแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุรถยนต์ ความคงกระพันชาตรี พุทธคุณล้ำเลิศไม่ด้อยกว่าเหรียญพระเกจิฯยุคเก่าๆโดยเฉพาะในหมู่ของทหารอากาศต่างทราบกันดีจึงให้ความเคารพศรัทธาอย่างมาก ถึงวันนี้จากเหรียญที่ไม่ค่อยมีผู้รู้จักและให้ความสนใจในอดีต กลับกลายเป็นของหายากมีมูลค่าในการสะสมของวงการพระเครื่องเมืองไทย พ่อหลวงล้านมีศิษยานุศิษย์มากมายทั่วประเทศไทย ชาวต่างประเทศก็รู้จักกิติศัพท์ของท่านแพร่หลายและเริ่มเก็บสะสมวัตถุมงคลของท่าน ปัจจุบันเหรียญรุ่นแรกนี้มีมูลค่าการสะสมถึงหลักพันกลางในองค์ที่สวยสมบุรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ที่มีผิวน้ำทองเหมือนกาหลั่ยทองบางๆ ใครมีก็ต่างหวงแหน
ประวัติ พ่อท่านล้าน เขมจิตโตหลวงพ่อล้าน เขมจิตฺโต หรือ พระครูเกษมจิตตาภิรักษ์ วัดเกษมบำรุง (วัดขนาย) ต.บางงอน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี
หลวงพ่อล้าน เขมจิตฺโต หรือพระครูเกษมจิตตาภิรักษ์ มีนามเดิมว่า ล้าน สงนรินทร์ (แซ่ฟุ้ง) เกิดเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ตรงกับวันจันทร์ แรม ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา จุลศักราช ๑๒๙๕ ณ บ้านคลองเคี่ยม ต.บางงอน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี โยมบิดาชื่อ นายสุกปั้น และโยมมารดาชื่อ นางพร้อย สงนรินทร์ ครอบครัวมีพี่น้อง ๗ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒ ครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรม .....
ชีวิตในวัยเด็กค่อนข้างลำบาก ต้องช่วยเหลือครอบครัวทำงาน แต่ยังมีเวลาที่จะศึกษาเล่าเรียน เมื่ออายุ ๗ ขวบ ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนวัดขนาย จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ หลังจากนั้นได้ช่วยครอบครัวประกอบอาชีพทำนา และปลูกผักขาย ใช้ชีวิตในวัยหนุ่มด้วยการหาเลี้ยงครอบครัว แต่แล้วในวัย ๒๗ ปี ท่านเกิดมีความคิดที่จะบวชเรียนตามประเพณี จึงได้กราบลาบุพพการีเข้าพิธีอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ณ วัดขนาย โดยมีพระครูสถิตสันตคุณ (หลวงพ่อพัว วัดบางเดือน) เจ้าคณะอำเภอคีรีรัฐนิคม เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูพิทักษ์ธรรมสาร (หลวงพ่อพริ้ม) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูรัษฎารามคณิศร์ เจ้าคณะตำบลบางงอน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายานามว่า เขมจิตฺโต หลังอุปสมบทท่านได้ศึกษาในพระปริยัติธรรมอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ก่อนหันไปศึกษาวิชาอักขระขอม ลงเลขยันต์จากหลวงพ่อพริ้ม นอกจากวิทยาคมอักขระขอม ท่านยังได้เรียนวิชาต่อกระ
ดูกตำรับวัดขนายโดยตรงจากหลวงพ่อพริ้มผู้เป็นอาจารย์ ท่านศึกษาวิชาต่อกระดูกจนมีความเชี่ยวชาญ ท่านได้นำวิชาที่ได้ร่ำเรียนมาใช้รักษาชาวบ้านที่ประสบอุบัติเหตุกระดูกหักให้หายเป็นปกติ จึงเป็นที่กล่าวขานกันมากว่า ”หากมีเหตุกระดูกหัก หรือกระดูกแตกให้นำคนเจ็บมาทำการรักษากับพ่อหลวงล้านที่วัดขนาย รับรองหายเป็นปกติทุกราย“ ซึ่งทุกวันนี้ยังคงมีผู้ได้รับบาดเจ็บมาทำการรักษาที่วัดขนายเสมอๆ ท่านจะให้คำปรึกษาในเรื่องการต่อกระดูก และการรักษาด้วยน้ำมันสมุนไพรตามตำราที่ท่านได้
ร่ำเรียนมา ในบางครั้งบางโอกาสหากมีคนบาดเจ็บมาที่วัดอย่างฉุกเฉินหรือในกรณีที่บาดเจ็บเล็กๆน้อยๆท่านก็ช่วยดูแลรักษาคนเจ็บด้วยตนเอง ส่วนการดูแลรักษาประจำนั้นจะมีหมอพื้นบ้านเป็นผู้ทำการรักษาอยู่ภายในอาคารผู้ป่วยของวัดขนายที่ท่านได้สร้างไว้ให้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีเมตตาเอาใจใส่ของท่านเสมอมา
ปัจจุบัน หลวงพ่อล้าน เขมจิตฺโต มีสิริอายุ ๘๑ ปี พรรษา ๕๔ ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเกษมบำรุงเพียงตำแหน่งเดียว ส่วนตำแหน่งเจ้าคณะตำบลบางงอน ท่านได้ลาออกแล้ว เนื่องจากวัยที่ร่วงโรยและปัญหาเรื่องสุขภาพ ท่านเป็นพระสงฆ์อย่างแท้จริงไม่ติดในลาภยศสักการะ บำเพ็ญเพียรตั้งมั่นอยู่ในสมณธรรมอย่างเคร่งครัด มีวัตรปฏิบัติดี เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมเป็นที่พึ่งพิงทางใจของพุทธศาสนิกชนทั่วไป เป็นพระนักพัฒนาและเป็นพระ
เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีความเชี่ยวชาญวิทยาคมเป็นที่เลื่องลือไปทั่วสารทิศจนถึงต่างประเทศ ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้าแห่งเมืองใต้ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งศิษยานุศิษย์ของท่านมีมากมายหลายกลุ่มทั้งชาวบ้าน พ่อค้านักธุรกิจ ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร โดยเฉพาะทหารอากาศสังกัดกองบิน ๗ สุราษฎร์ธานีจะศรัทธาท่านมากเป็นพิเศษหากมีพิธีกรรมมักจะนิมนต์ท่านไปเสมอๆ ...
ลำดับงานปกครองและผลงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ปี พ.ศ.๒๕๑๕ วันที่ ๕ กรกฎาคม ขณะที่อายุครบ ๓๙ ปี (พรรษา ๑๒) ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นครู
สอนพระปริยัติธรรมประจำสถานศึกษาวัดบางงอน
ปี พ.ศ.๒๕๑๗ สอบไล่ได้นักธรรมเอก สำนักเรียนวัดเกษมบำรุง
ปี พ.ศ.๒๕๑๘ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ และได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระสมุห์ล้าน เขมฺจิตฺโต
ปี พ.ศ.๒๕๓๑ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดเกษมบำรุง(ขนาย)
ปี พ.ศ.๒๕๓๒ วันที่ ๓๐ มกราคมได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดขนาย ขณะที่ท่านมีอายุได้ ๕๕ ปี
พรรษาที่ ๒๙
ปี พ.ศ.๒๕๔๐ ได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท (จร.ชท.)ในพระราชทินนามที่
พระครูเกษมจิตตาภิรักษ์
ปี พ.ศ.๒๕๔๘ ขณะนั้นท่านอายุ ๗๐ ปี พรรษาที่ ๔๒ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลชั้นตรี
(จต.ชต.) ในพระราชทินนามเดิมที่ พระครูเกษมจิตตาภิรักษ์ ปกครองวัดในสังกัด
ตำบลบางงอน อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท (จต.ชท.) เจ้าคณะตำบลชั้นโท
ในราชทินนามเดิม
/// กล่าวกันว่า หลวงพ่อล้าน มีความชำนาญพระคาถาอิติปิโส ๘ ทิศ, มงกุฎพระพุทธเจ้า, พระเจ้า ๑๖ พระองค์ และฆะเฏสิ ทรงอิทธิคุณในทางขับไล่สิ่งอัปมงคลชั่วร้าย เสริมดวงชะตา นำพาโชคลาภวาสนาบารมี สำหรับวัตถุมงคลที่หลวงพ่อล้าน ได้จัดสร้างจนโด่งดัง คือ เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก หลังยันต์น้ำเต้า แต่ ที่ได้รับการเล่าขานถึงอย่างกว้างขวาง คือ ตะกรุดผานไถพลิกแผ่นดิน ที่จัดสร้างจากผานไถจริงที่ใช้ไถนา เอามาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ทำตะกรุด นำมาหลอมรวมกันตามสูตรที่เรียนมาจากครูบาอาจารย์ จนได้รับการยอมรับจากบรรดานักนิยมสะสมพระเครื่องวัตถุมงคลว่ามีคุณเด่นด้าน เมตตามหานิยมและค้าขายเจริญรุ่งเรือง หลวงพ่อล้าน กล่าวว่า "ตะกรุดผานไถพลิกแผ่นดิน ที่ช่วยให้สามารถพลิกชะตาจากร้ายให้กลายเป็นดี ดุจเดียวกับผานไถนาที่ช่วยพลิกแผ่นดินที่เสียให้กลับกลายเป็นดินดี สามารถปลูกข้าวให้งอกงามได้ เป็นที่เชื่อถือกันมาแต่โบราณ แต่กระนั้น จะอาศัยเพียงวัตถุมงคลอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องใช้ความพยายามลงมือทำ สร้างเนื้อสร้างตัว อย่าไปเบียดเบียนผู้อื่น และที่สำคัญ ต้องมีศรัทธาประกอบด้วย จะทำให้เราประสบผลสำเร็จได้"
/// แต่ถึงแม้วัตถุ มงคลของหลวงพ่อล้าน จะได้รับความนิยมจากบรรดาสานุศิษย์ แต่ท่านไม่เคยอวดโอ่ มี แต่พร่ำสอนให้ญาติโยม อย่าดำรงชีวิตด้วยความประมาท อย่ายึดมั่นถือมั่นเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครหนีพ้น ขณะยังมีชีวิตขอให้ทุกคนหมั่นประกอบแต่กรรมดี ละเว้นทำชั่ว เพราะอายุคนนั้นสั้นนัก ถึงไม่แก่ไม่เฒ่าก็ตายได้เช่นกัน จงอย่าประมาท หลวงพ่อล้าน มักนำปัจจัยที่สานุศิษย์นำมาถวายหรือได้รับกิจนิมนต์เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกสำคัญทุกครั้ง เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้รับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา จะนำไปพัฒนาวัดและส่งเสริมด้านการศึกษาทั้งสิ้น ทำให้วัดขนายแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว รวมทั้งพัฒนาบรรยากาศภายในบริเวณวัดมีแต่ความสงบวิเวกเหมาะสมสำหรับการ ปฏิบัติธรรม ด้วยล่วงเข้าสู่วัยชราอายุกว่า ๗๗ ปีแล้ว ทำให้สุขภาพร่างกายย่อมเสื่อมถอยไปตามวัย แต่ถึงกระนั้น ท่านก็คงยังเมตตาให้คณะศิษย์ได้เข้าพบเพื่อกราบนมัสการสนทนาธรรมจากท่านอยู่ มิได้ขาด สมกับที่ได้รับการยกย่องให้ท่านเป็น
"พระเกจิดังแห่งลุ่ม น้ำตาปี" ......