909.เหรียญรุ่น2 พ่อท่านแดง วัดโท อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ปี14 เหรียญหายาก เหรียญขลังแดนใต้ ใช้แทนรุ่นแรกที่ราคาหลายๆพันได้เลยครับ 600-ประวัติหลวงพ่อแดง วัดโทตรี อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช พระเกจิอาจารย์เมืองใต้ พระเครื่องและวัตถุมงคลของท่านผู้ที่พกพาติดตัวส่วนใหญ่มีประสบการณ์กันเยอะมากโดยเฉพาะคงกระพันมหาอุด ป้องกันภันอันตรายต่างๆ
เหรียญพ่อท่านแดง วัดโท รุ่นแรก สร้างในปี 2507 ซึ่งเป็นที่นิยมมาก หายากยิ่ง และมีราคาสูง
ประวัติพ่อท่านอาจารย์แดง วัดโทตรี อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช
เรียบเรียงโดยคุณเปี๊ยก ลิกอร์
พระอธิการแดง จันทสโร เดิมชื่อ ไข่แดง คงพันธุ์ เกิดเมื่อวัน ๑ฯ๒ ๑๒ ค่ำ ปีกุน วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๔๔๒ ที่บ้านโคกหว้า หมู่ที่๒ ตำบลไทยบุรี
อำเภอท่าศาลา นครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายหนู นางซัง มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๕ คน คือ
๑.พระอธิการแดง จันทสโร เป็นบุตรคนโต ถัดไปน้องๆเป็นผู้หญิงลำดับกันดังนี้
๒.นางสาวนิ่ม คงพันธุ์
๓.นางส้มทับ สมหมาย
๔.นางวุ้น บุญสว่าง
๕.นางพร้อม การะนัด
การบรรพชาอุปสมบท เมื่ออายุครบเข้าเขตบรรพชาอุปสมบทในปี พ.ศ.๒๔๖๓ นางทองดำ ก็ได้นำนายไข่แดงไปฝากอาจารย์เฉยที่วัดท่าสูงอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อให้เรียนบวชตามความตั้งใจของแกที่มีความปรารถนาเป็นหนักเป็นหนาแล้วว่า อุตส่าห์ เอามาล้ำเลี้ยงรักษาไว้ตั้งแต่ยังแดงๆ
เมื่อรอดเหยี่ยวรอดกาแล้วจะได้พลอยพยุงชายจีวรกับเขาสักครั้งก็แล้วกัน และ แกได้มอบกำชับกับท่านสมภารว่า
ขอให้แกกรุณาช่วยเอาใจใส่ ให้พอบวชได้สักแต่วันสองวันก็ไม่ว่า ท่านสมภารก็รับปากจะช่วยสอนดูต่อไป
ส่วนนายไข่แดงเมื่อกลับมาอยู่วัดครั้งนี้ก็ตั้งใจทำความจำทางหูเพียงอย่างเดียว
หลวงพ่อแดง ย้ายมาอยู่ที่ วัดโคกเหล็ก ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๘ ที่วัดโคกเหล็กขาดพระลงต้องตกเป็นวัดร้างว่างพระอยู่ในระหว่างนั้น
นายหนูผู้เป็นโยมพ่อพร้อมด้วยญาติพี่น้องบ้านโคกหว้าและชาวบ้านใกล้เคียงบริเวณวัดนั้น ก็ได้ตกลงพร้อมกันไปขอนิมนต์ พระแดง จันทสโร
ต่อท่านอาจารย์เฉยมาช่วยรักษาวัดที่วัดโคกเหล็ก พอได้ให้บรรดาญาติโยมชาวบ้านบริเวณนั้นได้ทำบุญใกล้บ้าน วัดโคกเหล็กนี้เป็นวัดที่ไม่ห่างไกลบ้านเกิด
ของท่านนัก
การมาอยู่ที่วัดโคกเหล็กของท่านในครั้งนั้น ก็สุดแสนจะยากลำบากยากแค้นมาก เพราะเป็นวัดที่ตั้งอยู่กลางป่าดงพงไพร ห่างไกลหมู่บ้านคนพอควร รอบๆวัดล้วนเป็นป่ายางสูงสล้าง
ไปหมด สิ่งก่อสร้างที่มีอยู่ในวัดนั้นมาก่อนก็มี อุโบสถโบราณที่เก่าแก่คร่ำคร่า ซึ่งยังคงมีอยู่จนทุกวันนี้หลังหนึ่ง กับกุฏิเก่าหลังหนึ่ง และหอฉันเก่าหลังหนึ่งเท่านั้น
มีลานวัดเล็กๆอยู่ใกล้อุโบสถซึ่งเป็นพื้นสูงอยู่นิดหน่อยเท่านั้น นอกนั้นก็เป็นที่ป่ามีพื้นที่ราบลุ่มต่ำเป็นป่า น้ำราดรุงรังไปด้วยป่าละเมาะเต็มไปด้วยหญ้าคาและหญ้าอื่นๆเต็มไปทั้งวัด
เมื่อพระแดง จันทสโร ได้มาอยู่ ท่านก็ได้ออกปากไหว้วานบรรดาญาติโยม ที่อยู่ใกล้บริเวณวัดนั้น ช่วยกันแผ้วถางดายหญ้าจุดไปเรื่อยมา ค่อยบุกเบิกเขตวัดให้กว้างขวางออกไปตั้งหลายเท่า
ของวัดเดิม เพราะในสมัยนั้นที่ทางต่างๆที่รกร้างว่างเปล่าอยู่แทบทั้งนั้น ไม่มีใครเข้าจับจองเป็นเจ้าของท่านก็ได้ลงมือหักป่าลงให้กลายเป็นวัดวาอารามมิใช่น้อย
ต้องโค่นแผ่ต้นไม้ใหญ่ๆเอาเสียมากทีเดียว พร้อมกันนั้นก็ได้ติดตามไปด้วยการปลูกผลอาสินไว้สำหรับวัดเป็นอันมาก ทั้งที่เป็นไม้ประเภทล้มลุกและยืนต้น
เช่น กล้วย อ้อย หมาก มะพร้าว และผลไม้อื่นๆอีกมาก เมื่อขยายเขตวัดให้กว้างขวางออกไป ก็จำเป็นจะต้องให้มีรั้วรอบขอบชิดบริเวณวัด
ท่านก็จะต้องปลุกปล้ำทำงานชนิดนี้อยู่ไม่ได้เว้นแต่ละวัน บางครั้งแถมกลางคืนเข้าไปด้วย ทั้งนี้ด้วยน้ำใจอันเข้มแข็งบากบั่นของท่านถึงเช่นนี้
เมื่ออกปากใช้ชาวบ้านและญาติโยมเขาจนเบื่อเกือบไม่มีใครกล้ามาวัด เพราะครั้นมาก็ถูกท่านใช้งานให้ช่วยกันตกแต่งวัดอยู่เสมอทุกครั้งที่เข้ามา
หนักๆเข้าก็ไม่มีใครกล้ามาวัด มีอยู่บ้างก็น้องๆผู้หญิงเอาอาหารมาถวายเท่านั้น ท่านเห็นความลำบากเช่นนั้นเข้าท่านจึงต้องทำเอง
เพราะแหนะไม้และกอไผ่ป่าก็ยังขึ้นอยู่มากต้องจุดไปเผาขอนไม้ยางและตอไม้โตๆเป็นอันมากเกือบจะพูดได้ว่านับไม่ถ้วน ท่านต้องลงมือทำเอง
เอามากทีเดียวทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ค่อยได้หยุด
การที่ท่านทำงานตรากตรำอยู่เช่นนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้บางคนหรือบางพวก ต้องติเตียนว่าท่านประพฤติผิดกิจสมณะสารูปไปบ้าง ครั้งหนึ่ง ขุนเยี่ยม ปลัดอำเภอท่าศาลา
ได้มาเจอะท่านกำลังถางกอไผ่และป่าละเมาะอยู่ เรื่องนี้ทำให้ท่านขุนไม่พอใจเลยให้นามท่านว่า “พระจง” ก็มี ความตำหนิติเตียนในเรื่องทำนองนี้ก็มีอยู่เสมอมา
ข่าวการตำหนิติเตียนท่านอย่างนี้ก็มีอยู่บ่อยๆ จนทราบถึงหูนายหนูผู้เป็นโยมพ่อ ก็นึกแค้นเคืองต่อผู้ตำหนิติเตียนท่านเป็นอันมาก จนสุดที่จะระงับคำพูดของคนเหล่านั้นได้
ด้วยความโกรธแค้นฉุนเฉียวในเรื่องนี้จึงได้มาหาท่าน แล้วก็กล่าวเอ่ยขึ้นมา “ต้น ถ้าคุณชอบทำงานอยู่อย่างนี้แล้วก็ควรจะสึกเสียดีกว่า ออกไปทำงานทางบ้าน
จะได้ไม่ต้องเป็นขี้ปากคนนัก ผมเบื่อคนพูดเสียเต็มทีแล้ว สึกเสียเถอะผมจะเอาผ้ามาให้” ท่านนั่งฟังอยู่ พอโยมพ่อจะลงไป ท่านก็พูดส่งท้ายไปว่า “ใครเอาผ้ามาให้ฉัน
ถ้าฉันไม่สับให้หมดแล้วคอยดู” เมื่อนายหนูผู้เป็นโยมพ่อได้ฟังดังนั้นก็ออกเดินเงียบหายไป ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลยแม้ว่าใครจะตำหนิติเตียนสักเท่าไร
ท่านก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ใครพูดได้ก็พูดไป ท่านก็ไม่หวาดหวั่นครั่นคร้ามต่อคำพูดของบุคคลเหล่านั้นแม้แต่น้อย
มุ่งตั้งใจปรับปรุงวัดวาอารามให้มีความเจริญขึ้นเพียงอย่างเดียวก็แล้วกัน หลังจากนั้นไม่กี่ปี
วัดโคกเหล็กจากที่เป็นวัดร้างก็กลายสภาพเป็นวัดที่กว้างขวางสวยงามขึ้นมา บุคคลบางพวกที่เคยตำหนิท่านมาก่อนก็ค่อยๆชักสงบเสียงลงไป หันกลับมาเข้าวัดกันมากขึ้น
มีเหตุการณ์หนึ่ง ท่านได้ไปที่บ้านเพื่อยืมควายถึกมาตัวหนึ่งเพื่อไว้ช่วยกินหญ้าและใช้ชักลากไม้มาซ่อมมาซ่อมเสนาสนะด้วย แต่ควายตัวนี้มีนิสัยชักดุอยู่บ้าง
วันหนึ่งท่านพาควายตัวนี้ไปลากไม้มาทำรั้ววัดซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก แต่ท่านก็บรรทุกไม้ให้มันลากจนหนักเต็มแรงเอาทีเดียว พอมาถึงวัดท่านก็เข้าไปเอาหนวนออกจากคอ
พอเสร็จควายตัวนั้นเฉลี่ยวโกรธ ตรงเข้ากระแทกขวิดแทงท่านจนล้มลง แล้วมันยังขวิดแทงซ้ำด้วยเขาอันแหลมคมจนท่านติดปลายเขาของมันแล้ว มันก็สะบัดท่านไปตกในป่ารก
แล้วมันก็วิ่งเลยไป ผู้ที่ได้เห็นเหตุการณ์ต่างพากันตกใจเป็นอันมาก รีบวิ่งกันไปช่วยประคองท่านขึ้นแล้วช่วยกันดูแผลให้ท่าน แต่ปรากฏว่า
ท่านไม่มีแผลแต่อย่างใดมีเพียงรอยหนังกำพร้าถลอกไปเล็กน้อยเท่านั้น ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันแปลกใจเป็นอันมากเรื่องนี้ทำให้คนทั้งหลายต่างพากันสรรเสริญว่า พ่อท่านแดง มีความศักดิ์สิทธิ์น่าอัศจรรย์
ครั้งหนึ่ง มีการพนันนัดกัดปลากันในที่แห่งหนึ่ง มีพวกกัดปลาคนหนึ่งได้นำปลาที่แพ้แล้วไปกัดกับปลาลูกผสม ฝ่ายผู้ถือปลาแพ้ได้ออกชื่อบนบานพ่อท่านแดงเป็นเชิงเล่นตลกว่า
“ถ้าพ่อท่านแดงศักดิ์สิทธิ์จริงแล้ว ขอให้ปลาที่เคยกัดแพ้มาแล้วของเขานั้น ให้กัดชนะด้วยเถิด จะเอาข้าวต้มไปถวายสักร้อยลูก” ผลปรากฏว่าปลาที่เคยแพ้มาแล้วกลับชนะเอาจริงๆ
ทำให้บรรดาพวกนักเลงปลากัดเหล่านั้นชวนกันโห่ร้องขึ้นเซ็งแซ่ พากันเลื่อมใสในความศักดิ์สิทธิ์ของพ่อท่านแดงขึ้นเป็นอันมาก ในตอนแรกๆนั้นชาวบ้านมักบนท่านด้วยข้าวต้ม
เพราะเห็นว่าเป็นของที่ท่านชอบ จึงบนให้เป็นที่ชอบใจของท่าน บางคนบนบานยอมถวายกันคนละร้อยสองร้อยลูกก็มี เมื่อมีชาวบ้านบนบานท่านได้มากขึ้นๆ
ภายหลังมีผู้ช่วยออกความเห็นว่า ควรจะทำโกร่ง(ตู้บริจาค)ถวายท่านไว้ เพื่อให้ผู้บนบานท่านต่อไปได้บนบานโดยการใส่ตู้บริจาคบ้าง
เพื่อจะได้นำปัจจัยดังกล่าวมาบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะวัดวาอาราม ซึ่งต่างก็ยินดีบนบานโดยการใส่โกร่งบ้าง บนปิดทองที่เท้าท่านบ้าง บนเป็นข้าวต้มให้ท่านบ้าง
ซึ่งต่อมาชาวบ้านทั้งหลายต่างก็นิยมบนบานท่านมากขึ้นเป็นลำดับ นอกจากนี้ ก็ยังมีผู้นิมนต์ท่านไปบูชาเคราะห์ รดน้ำมนต์เป็นกิจประจำ ไม่เว้นแต่ละวัน
ด้วยชาวบ้านเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของท่านอย่างสนิทใจ ความเจ็บไข้ได้ทุกข์ของคนเหล่านั้น ก็กลับคล่องคลายหายไปได้ดังความประสงค์ทุกประการ
ต่างต้องการที่จะนำวัวควายของตนเข้าไปกินหญ้าในบริเวณวัด แต่พ่อท่านแดงท่านไม่อนุญาต เพราะหากนำวัวควายเข้ามาเลี้ยงกินหญ้าในวัด
ก็จะทำให้เหล่าอาสินของวัดเสียหาย เหตุดังนี้จึงทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น ระหว่างชาวบ้านที่เห็นแก่ตัว กับพ่อท่านแดงขึ้น จนหนักๆเข้า ก็มีเสียงครหาในตัวพ่อท่านแดง
จากพวกชาวบ้านที่เห็นแก่ตัว แต่พ่อท่านแดงก็ยังคงนิ่งเฉยสงบไว้ และเมื่อข่าวนี้รู้ไปถึงหูของพวกญาติพี่น้องของท่าน ก็พากันแค้นเคืองบุคคลเหล่านั้นแทนพ่อท่านแดง
เป็นอันมาก ต่างก็พิจารณาหาลู่ทางแก้ไขกันอยู่ว่าจะทำประการใดดี ที่จะให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไปหลวงพ่อแดง ย้ายมาอยู่วัดโทตรี ในปี พ.ศ.๒๔๙๐ ครั้งนั้นที่วัดโทตรี ตำบลกะหรอ กำลังตกอยู่ในสภาพรวนเรอยู่มาก เหตุด้วยว่าขาดสมภารผู้ปกครองวัดลง ยังคงเหลือแต่เพียงพระภิกษุใหม่ที่เพิ่งบวชยังไม่ได้พรรษา
รูปหนึ่ง ชื่อ พระติ่ม เท่านั้น ซึ่งเป็นการยากที่พระใหม่จะปกครองวัดแต่เพียงผู้เดียวด้วยพรรษายังไม่มาก พระติ่มจึงได้ปรึกษากับนายวัน ชาวบ้านกะหรอ ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์วัดในขณะนั้นว่า
“เราจะไปหาใครที่ไหนมาช่วยปกครองวัดกันดี ฉันร้อนใจมาก” ต่างก็ได้พิเคราะห์พิจารณาถึงพระวัดต่างๆที่ใกล้เคียงว่าจะมีใครที่ไหนบ้าง ในที่สุดก็คิดได้ว่าที่วัดโคกเหล็กมีพระแก่พรรษาอยู่ด้วยกันถึงสองรูป คือ พ่อท่านแดง และ ท่านพระแดง เขมะโก เราน่าจะไปนิมนต์ดูสักรูปเถิด จึเป็นอันตกลงกัน พระติ่มกับนายวัน ก็ได้ชวนกันเดินทางมายังวัดโคกเหล็กในวันนั้น ครั้นถึงวัดแล้วก็ตรงไปหาพ่อท่านแดง แล้วนั่งลงกราบด้วยความเคารพ แล้วพ่อท่านแดงจึงได้ถามว่า “คุณมาธุระอะไรหรือ” พระติ่มกับนายวันจึงได้เล่าเรื่องราวให้ท่านทราบ พ่อท่านแดงท่านนั่งพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “ฉันตกลงจะไปอยู่ให้ก็ได้ แต่ต้องถามพวกน้องๆดูก่อน ถ้าพวกเขามิขัดข้อง ฉันก็จะไปอยู่ให้” พระติ่มกับนายวัน เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้นต่างก็ดีใจอย่างยิ่ง แต่ก็มิวายกังวลถึงความไม่แน่นอน เมื่อได้เดินทางมาแล้วก็ใคร่อยากจะรู้เสียให้แน่นอน จึงขอนิมนต์พ่อท่านแดงไปที่บ้านท่านเพื่อบอกเล่าเรื่องราวกับญาติโยมของท่านเสียในวันนี้เลย พ่อท่านแดงท่านก็รับนิมนต์
เมื่อพ่อท่านแดง พระติ่มและนายวันได้เดินทางไปถึงบ้านโคกหว้า ก็ได้พบกับญาติโยมของพ่อท่านแดงแทบทุกคน เมื่อได้บอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้ญาติโยมของท่านฟังแล้ว
ต่างก็มีความยินดียิ่ง เพราะมีความประสงค์อยู่ด้วยแล้วว่า ถ้าพ่อท่านแดงท่านได้ออกไปอยู่ ณ วัดอื่นซึ่งห่างไกลจากบ้านเสียทีก็ดี
เพราะการที่ท่านมาอยู่ช่วยตกแต่งที่วัดโคกเหล็กนี้ก็นานแล้วจากที่เคยเป็นวัดร้าง กลับกลายมาเป็นวัดที่เจริญกว้างขวาง
นับแต่ท่านอุปสมบทมาตลอดทั้งชีวิต ท่านได้บำเพ็ญบำรุงพระพุทธศาสนามาตลอด ทั้งที่วัดโคกเหล็ก ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากนานาประการ แต่ด้วยความเป็นเนื้อนาบุญ
ท่านก็ฝ่าฟันมาได้ ทั้งเมื่อท่านมาอยู่ ณ วัดโทตรี เป็นเวลา ๒๐ ปี ท่านก็ได้บำเพ็ญประโยชน์ไว้เป็นอันมาก เป็นต้นว่า การปลูกสร้างกุฏิวิหารต่างๆ
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างในสมัยของท่านทั้งสิ้น ท่าน เป็นอาจารย์ผู้ชอบทำบุญทำทาน ไม่ยึดติดในทรัพย์หรือวัตถุใดๆ ส่งเสริมให้ทุกคนเป็นคนดี
ท่านอุตส่าห์พยายามตักเตือนพร่ำสอนเสมอ ยอมสละทรัพย์ส่วนตัว และชักชวนคนอื่นบริจาคเพื่อบำรุงพระศาสนา อันนับได้ว่าท่านเป็นพระภิกษุที่หาได้ยากยิ่ง