631.พระผงพุทโธหายโรค หลวงปู่พระมหามุนีวงค์ (สนั่น จันทปัชโชโต) วัดนรนารถสุนทริการาม จ.กรุงเทพฯ ที่ระลึกในคราวเลื่อนสมณศักดิ์ ที่ พระพรหมมุนี ปี19
พิเศษหลังจารมือหลวงปู่ หายากมากครับ พบเห็นน้อย มาพร้อมกล่องเดิม 1200-ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
หลวงปู่สนั่น ถือกำเนิดในสกุล สรรพสาร เป็นบุตรคนที่ 6 ในจำนวน 10 คน ของคุณพ่อกำนันคำพ่วย และ คุณแม่แอ้ม สรรพสาร ณ บ้านหนองบ่อ ตำบลหนองบ่อ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี วันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2451 ในแผ่นดินรัชกาลที่ 5
ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
บรรพชาเป็นสามเณร
เมื่อยังเด็ก หลวงปู่มีอุปนิสัยรักในการบวช มักพูดว่าอยากไปบวชเณร และชอบที่จะคลุกคลีอยู่กับผู้ใหญ่ มากกว่าเด็กๆวัยเดียวกัน มีแววเฉลียวฉลาดและสติปัญญาดี ท่านได้รับการเลี้ยงดูจากคุณลุงเคน และคุณป้าแก้ว ซึ่งเป็นพี่สาวของโยมมารดา ตั้งแต่ยังเล็กๆ ท่านอยู่กับคุณป้าแก้วได้อายุประมาณ 9 ขวบ คุณป้าแก้วก็เสียชีวิตลง หลวงปู่ได้บวชหน้าไฟอุทิศให้แก่คุณป้าในงานวันฌาปณกิจศพ โดยมี พระอธิการเคน คมฺภีรปญฺโญ (สรรพสาร) เป็นพระอุปัชฌาย์ ณ วัดบูรพาพิสัย การบวชเป็นเณรของหลวงปู่ในครั้งนั้น ท่านได้ศึกษาเล่าเรียน และปรนนิบัติรับใช้พระอุปัชฌาย์ เป็นเวลา 4 ปี
ต่อมาท่านเจ้าคุณพระศาสนดิลก (ชิตเสโน เสน) ได้รับหลวงปู่เข้าเป็นลูกศิษย์ เนื่องจากถูกอัธยาศัยกับท่านเมื่อครั้งท่านไปพักที่วัดบูรพาพิสัย ครั้งนั้นหลวงปู่จึงได้ย้ายมาจำวัดที่วัดศรีทอง จ.อุบลราชธานี และในช่วงนี้เองท่านได้เข้าศึกษาภาษาไทยและบาลีไวยากรณ์กับท่านเจ้าคุณพระศรีธรรมวงศาจารย์ (ทองจันทร์ เกสโร) ที่โรงเรียนอุบลวิทยาคม วัดสุปัฏนาราม จ.อุบลราชธานี
อุปสมบท
พ.ศ. 2468 ท่านเจ้าคุณพระศาสนดิลก (เสน ชิตเสโน) ได้ฝากฝังหลวงปู่ไว้ให้อยู่ในปกครองของท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ที่วัดบรมนิวาสฯ จ.กรุงเทพฯ ณ ที่นี้หลวงปู่ได้เริ่มต้นศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างจริงจัง และได้อุปสมบทที่วัดบรมนิวาสฯนี้เอง ในปี พ.ศ.2471 โดยมี พระครูศีลวรคุณ (อ่ำ ภทฺราวุโธ)เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอมราภิรักขิต (ชัย ชิตมาโร)เป็นพระกรรมวาจาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า จนฺทปชฺโชโต
หลวงปู่ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยความขยันและอดทน และสำเร็จการศึกษาพระปริยัติธรรม เปรียญ 9 ได้ในปี พ.ศ.2486 ขณะที่หลวงปู่มีอายุได้ 23 ปี ในช่วงอายุนี้ท่านได้เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม และช่วยงานการปกครองคณะสงฆ์ของจังหวัด ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ได้อนุญาตให้หลวงปู่ไปช่วยงานได้ตามที่ขอมา ซึ่งหลวงปู่ก็ได้ไปอยู่ช่วยงานที่จังหวัดจันทบุรีอยู่ 3 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2472-2524 หลวงปู่ได้ทำหน้าที่เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมตามสำนักเรียนต่างๆ
ในวัย 36 ปี (พ.ศ.2486) หลวงปู่ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสังฆสภา จากนั้นท่านก็ได้ดำรงตำแหน่งและหน้าที่ต่างๆเพื่อประโยชน์ทางพระพุทธศาสนา ทั้งด้านการศึกษา การปกครอง การเผยแผ่ และสาธารณูปการต่างๆอย่างเต็มความสามารถ ในปี พ.ศ.2489 หลวงปู่มีสมณศักดิ์ในขณะนั้นที่ พระอมรเวที ท่านได้รับหน้าที่จาก สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์ สุจิตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร ให้ไปอยู่ช่วยงานที่กองตำรามหามกุฏฯ ที่วัดนรนาถสุนทริการาม หลวงปู่จึงย้ายไปจำพรรษาที่วัดนรนาถฯ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลวงปู่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ต่างๆ จนกระทั่งในปี พ.ศ.2532 ท่านได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ "สมเด็จพระมหามุนีวงศ์"
หลวงปู่ได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือสมณศักดิ์ใด ท่านมีความมักน้อย สันโดษ ไม่โอ้อวด ไม่ถือยศตลอดอายุของท่าน บรรดาพระป่ากัมมัฏฐานต่างๆ
เ
ช่น หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปณฺโณ ได้กล่าวถึงหลวงปู่ว่า "เป็นพระแท้ กราบไหว้ได้ด้วยความสนิทใจ" โดยทุกๆเช้าหลวงปู่จะตื่นตี 4 ลุกขึ้นมาไหว้พระสวดมนต์
นั่งสมาธิไปจนกระทั่ง 6 โมงเช้า จากนั้นจึงลงไปเดินจงกรมรอบๆโบสถ์ ปฏิบัติเช่นนี้มาตลอด ไม่เคยขาดแม้กระทั่งเจ็บป่วย ท่านเคยได้ออกธุดงค์และบำเพ็ญเพียรในป่า ตามแบบอย่างของครูบาอาจารย์ของท่าน มีท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) และ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เป็นต้น
ในช่วงท้ายของชีวิต หลวงปู่ได้อาพาธด้วยโรคไต และปอด มีอาการเจ็บป่วยอยู่เป็นระยะ ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม พ.ศ.2541 หลวงปู่เข้ารับการรักษาอาการอาพาธ ในครั้งนี้หลวงปู่ได้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้แก่ เบาหวาน ความดันต่ำ และหอบหืด ทำให้มีอาการรุนแรงกว่าทุกครั้ง หลวงปู่มีสติดีเยี่ยม รับรู้อาการทรมานแห่งโรค รับรู้การรักษาพยาบาล ซึ่งท่านไม่ได้มีอาการทุรนทุราย กระสับกระสาย หรือร้องครวญครางให้ใครได้ยินเลย ท่านแสดงถึงความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว จนกระทั่งวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2541 หลวงปู่อยู่ในอารมณ์สมาธิ เงียบสงบ ลมหายใจแผ่วเบา และอ่อนลงตามลำดับ จนกระทั่งมรณภาพลง
สิริอายุรวม 90 ปี 1 เดือน 24 วัน พรรษาที่ 71
ลำดับงานปกครอง พ.ศ.2500 เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2501 เป็นเจ้าอาวาสวัดนรนาถสุนทริการาม พ.ศ.2510 เป็นเจ้าคณะภาค 8 และภาค 10 (ธ) พ.ศ.2512 เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม
ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2501 รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพวราภรณ์
พ.ศ.2506 รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ “พระธรรมวราภรณ์”
พ.ศ.2519 เป็นชั้นรองสมเด็จพระราชาคณะที่ “พระพรหมมุนี”
วันที่ 5 ธ.ค.2532 โปรดเกล้าฯ พระราชทานสถาปนาเป็น “สมเด็จพระมหามุนีวงศ์”