[Thesun]พระกรรมฐานพ่อแม่ครูอาจารย์และพระเกจิอาจารย์ทั่วไป(อ่าน 648415 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

1132.กุมารทอง เนื้อดิน7ป่าช้า หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จ.นครปฐม ปี248กว่า หายาก สุดยอดเครื่องรางของขลัง เจ้าตำหรับกุมารดูดรกอันดับ1 ของประเทศ
ใช้เนื้อดินแทน กุมารดูดรกเนื้อโลหะที่ราคาหลักหลายๆหมื่นถึงแสนได้เลยครับ  ค้าขายร่ำรวย มีกินมีใช้ไม่หมด สุดยอดกุมารทองเมืองไทย
 มาพร้อมบัตรรับรองพระแท้
เปิดบูชา 2,300-

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง พระ อมตะอาคมขลัง พระเถราจารย์แห่งลุ่มน้ำนครชัยศรี ศิษย์หลวงพ่อทา วัดพระเนียงแตก  ท่านเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ
หลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไกร ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นต้น

















ขอจองครับ



1135.พระผงกรุวัดนก(วัดสกุณาราม) จ.อ่างทอง ปี245กว่า พิมพ์ฐานบัว หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าปลุกเสก สวยสมบูรณ์ พระดีราคาเบาใช้แทน พระเครื่องหลวงปู่ศุข
หลักแสนได้เลยครับ
1200-

วัดนก (สกุณาราม) ตังอยู่ในอำเภอไชโย

กล่าว สำหรับวัดนก "สกุณาราม" อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง ข้อมูลจากหนังสือ "เมืองอ่างทอง" อันจัดพิมพ์เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายในศุภวารมงคลสมัยที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ พ.ศ.2534 ว่า
"วัดสกุณาราม ตั้งอยู่เลขที่ 1 บ้านสกุณา หมู่ที่ 5 ตำบลไชโย อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง
ที่ ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่มติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา อาคารเสนาสนะต่างๆ ประกอบด้วยพระอุโบสถสร้างใหม่ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาดกว้าง 20 เมตร ยาว 40 เมตร พระวิหารคอนกรีตและไม้กว้าง 5 เมตร ยาว 9 เมตร ศาลาการเปรียญเป็นไม้ กว้าง 18 เมตร ยาว 30 เมตร กุฎีสงฆ์ 7 หลัง

ประวัติ ความเป็นมา เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่ต่อมาคงถูกทิ้งร้างไป จนกระทั่งในปีพุทธศักราช 2416 จึงได้มาบูรณะปฏิสังขรณ์อีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบันมีเนื้อที่ทั้งหมด 60 ไร่ 1 งาน 1 ตารางวา ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2517 เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 20 เมตร ยาว 40 เมตร
โบราณวัตถุ พระเจดีย์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของพระอุโบสถ เป็นพระเจดีย์ทรงกลมที่มีฐานสูง ที่ก้านฉัตรไม่มีเสาหาร อาจกำหนดอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 23 ตอนปลายได้ แต่คงได้รับการซ่อมแซมในตอนกลางของพุทธศตวรรษที่ 25 อีกครั้ง"
ที่วัดนก (สกุณาราม) แห่งนี้มีกรุพระเครื่องเลื่องชื่อ ซึ่งอดีตเจ้าอาวาสวัดนาม หลวงปู่เฟื่อง เป็นผู้สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณปี พ.ศ.2460-2470 ในสมัยนั้นนอกเหนือจากหลวงปู่เฟื่องแล้ว วัดนก (สกุณาราม) ยังมีพระเกจิอาจารย์เลื่องนามอีกรูปหนึ่งคือ หลวงพ่อทอง เป็นพระลูกวัด

พระสมเด็จวัดนกที่พบเห็นกันโดยมาก เป็นพระสมเด็จฐาน 3 ชั้น มีขนาดกว้างประมาณ 1.5 เซนติเมตร สูงประมาณ 2.3 เซนติเมตร
องค์ พระพุทธปฏิมากรปางสมาธิ ประทับบนอาสนะฐาน 3 ชั้น ภายในซุ้มประภามณฑล 2 ชั้น ระหว่างชั้นมีขีดคั่น ที่เรียกกันว่า ซุ้มประภามณฑลมีรัศมี แบบเดียวกับพระเครื่องหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า เข้าใจว่าถ่ายทอดแบบกันออกมา
องค์พระมีพระพักตร์คมโตนูน เกศจะเป็นเกศสูงสองชั้น ปรากฏรอยผ้าสังฆาฏิอย่างชัดเจน ในส่วนของด้านหลังเรียบและปรากฏรอยจารอักฃระลงไปในเนื้อพระ เป็นตัว "อุ" บ้าง ตัว "เฑาะว์" บ้าง หรือตัว "อุณาโลม" บ้าง
อย่างไรก็ตามพระสมเด็จวัดนกยังมีหลายพิมพ์ทรงที่พบเห็นกัน พระสมเด็จฐาน 3 ชั้น ข้างอุ พระสมเด็จฐานบัว 2 ชั้น ฯลฯ
และเนื่องจากเป็นพระเครื่องที่ได้รับการบรรจุกรุ จึงปรากฏรอยคราบกรุให้เห็น
แต่ เดิมทีนั้นพระสมเด็จวัดนก (สกุณาราม) ไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก ปรากฏว่ามีการนำพระสมเด็จวัดนก (สกุณาราม) นี้ไปยัดเป็นของพระเกจิอาจารย์อื่นๆ ก็มี

จนเมื่อข่าวคราวของชาวบ้าน ที่พกพระสมเด็จวัดนก (สกุณาราม) นี้ไว้ในกล่องยาสูบ ไปเหยียบงูแมวเซาเข้าโดนกัดแต่ไม่เข้า อีกทั้งต่อมายังมีข่าวคราวเด็กในตลาดวิเศษไชยชาญคล้องพระสมเด็จวัดนก (สกุณาราม) เลี่ยมขอบเงิน ไปโดนหมากัดชนิดเสื้อขาดกระจุย ตามเนื้อตัวมีรอยเขี้ยวเต็มไปหมด แต่หาเข้าเนื้อไม่
นั่นแหละชื่อเสียงของพระสมเด็จวัดนก (สกุณาราม) จึงกระหึ่มขึ้นในท้องถิ่น

พระ วัดนก(สกุณาราม) อ่างทอง เป็นพระเนื้อผงน้ำมัน มีหลายสี สีเขียว สีเทา สีดำ สีขาว สร้างขึ้นเมื่อปี 2453 โดยหลวงพ่อแก้ว ซึ่งท่านเป็นเพื่อนกับหลวงปู่ศุขแห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท สร้างเรื่อยมาจนถึงปี 2475 โดยนิมนต์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมาร่วมปรกปลุกเสกด้วย เพราะเป็นสหธรรมมิกกัน แม่พิมพ์จึงมีศิลปะแบบเดียวกับพระเครื่องหลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า เข้าใจว่าคงได้รับการแนะนำแม่พิมพ์โดยหลวงปู่ศุขครับ โดยพระเครื่องวัดนกจะเป็นเนื้อผงผสมว่าน108ที่มีฤทธิ์ทางเหนียวและผงประกำ ช้าง ซึ่งที่วัดสกุณารามแต่โบราณใช้เป็นที่พักช้างให้ช้างได้พักผ่อนอาบน้ำให้ สะอาด ก่อนที่จะมุ่งหน้าเดินทางเข้าเมืองอยุธยาต่อไป ซึ่งเมื่อก่อนนี้เมืองอยุธยานี้ถือว่าเป็นเมืองหลวง
ลูกประกำช้างนั้น เป็นวัสดุอาถรรพ์ช้างจะกลัวมาก หลวงพ่อแก้วได้นำมาตำผสมกับว่าน108และผงพุทธคุณและนำมาพิมพ์เป็นพระ

















1136.พระสมเด็จ พิมพ์ใหญ่(เล็บมือ) กรุวัดกุฎีทอง จ.พระนครศรีอยุธยา
จัดสร้างโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) และ หลวงปู่แสง วัดมณีชลขันธ์ จ.ลพบุรี  สภาพสวยงามนิยม เนื้อแห้งแกร่ง มีคราบกรุทั้งฟองเต้าหู้
และคราบดินทรายติดอยู่ อายุพระเป็นร้อยปี พระดีราคาเบา ไม่มีสมเด็จวัดระฆังแท้ๆที่สมเด็จโตปลุกเสก ใช้กรุวัดกุฏีทองแทนได้ครับ
เปิดบูชา 1,400-

พระสมเด็จ กรุวัดกุฎีทอง(กรุเก่า) จ.พระนครศรีอยุธยา  สภาพสวยงามนิยม เนื้อแห้งแกร่ง มีคราบกรุทั้งฟองเต้าหู้ และคราบดินทรายติดอยู่
เก่ามากถึงยุค จัดสร้างโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) และ หลวงปู่แสง วัดมณีชลขันธ์ จ.ลพบุรี

พระสมเด็จ กรุวัดกุฎีทองมีบันทึกระบุว่าพบพระสมเด็จวัดระฆังและสมเด็จบางขุนพรหมในกรุนี้ด้วยหลายองค์ และพระส่วนใหญ่ที่พบในกรุนี้มีมากกว่า ๕๐ แบบพิมพ์ ขนาดเท่ากับพระสมเด็จทั่วไป ส่วนใหญ่จะเป็นพิมพ์สมเด็จเส้นด้าย มีพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์เล็บมือก็มี และมีอีกมากหลายแบบพิมพ์... ฝีมือช่างชาวบ้านและมวลสารท้องถิ่นหนักไปทางก้านธูป ปูนขาวและเปลือกหอย

เนื้อพระจะเป็นเนื้อปูนผสมผง เนื้อแห้งแกร่ง มีคราบกรุทั้งฟองเต้าหู้ และคราบดินทรายติดอยู่ มีทั้งสีขาว เหลืองอ่อน ครีม น้ำตาลอ่อน ดำ แดงอ่อนๆ เขียวอ่อนแบบธูปเขียว ถ้าเป็นสีเขียวหินลับมีดจะมีราคาสูงกว่าเพราะมีน้อย

เอกลักษณ์สำคัญอันหนึ่งของพระกรุนี้ คือ จะมีชิ้นทองคำฝังอยู่ที่เนื้อขององค์พระที่ด้านหน้ามองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จำนวนชิ้นทองคำนี้ไม่แน่นอน เริ่มตั้งแต่ไม่ฝังไว้เลยก็มี หรือฝังไว้ ๓,๕,๗ ถึง ๙ แผ่นเลยก็มี ซึ่งหายากนัก และสูงค่าที่สุด

แผ่นทองคำนี้ เป็นเอกลักษณ์ประจำพระกรุนี้ เพราะสันนิษฐานกันว่า ได้นำทองคำที่พระเจ้าปราสาททองหุ้มกุฏิพระอาจารย์ดี หลังจากได้ทรงขึ้นครองราชย์ตามคำทำนาย ภายหลังเมื่อกุฏิหลังดังกล่าวได้ชำรุดผุพังลงตามกาลเวลา แต่แผ่นทองทำยังมิได้ผุพังลงไปด้วย บุรพาจารย์ทั้งสองท่านจึงได้ดำรินำมาฝังไว้บนองค์พระเพื่อให้ผู้คนได้จดจำกราบไหว้

ประวัติ วัดกุฎีทอง จ.พระนครศรีอยุธยา
วัดกุฎีทอง ตำบลท่าวาสุกรี อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นวัดเก่าโบราณครั้งสมัยเมืองละโว้ พงศาวดาร เหนือกับพงศาวดารชาติไทย กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า พรเจ้าสินทบอมรินทร์ ทรงสร้าง วัดกุฎีทอง พระนางกัญญาเทวี อัครมเหษีทรงสร้าง วัดคงคาวิหารประมาณพุทธศักราช 1600 ซึ่งอิฐและปูนที่ใช้ก่อกำแพงแก้วใกล้พระอุโบสถในวัดกุฎีทองเป็นอิฐและปูนรุ่นเดียวกันกับพระเจดีย์ในวัดพระศรีมหาธาตุ เมืองละโว้ หรือ จังหวัดลพบุรีในปัจจุบัน เพระฉะนั้น จากหลักฐานอิฐและปูนที่ก่อสร้างกำแพงแก้วใก้พระอุโบสถ ซึ่งเป็นอิฐและปูนก่อนสมัยสร้างกรุงศรีอยุธยา วัดกุฎีทองจึงเป็นวัดก่อนสมัยสร้างกรุงศรีอยุธยา เช่นเดียวกับวัดธรรมิกราช วัดพนัญเชิง อย่างแน่นอน
ครั้นต่อมาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ พ.ศ. 1991 ได้ซ่อมแซมพระอุโบสถวัดกุฎีทองที่ชำรุดให้ดีขึ้น

จากหลักฐานและผู้ใหญ่เล่าสืบต่อๆ กันมามีตำนานในสมัยแผ่นดิน สมเด็จพระเอกาทศรถ พ.ศ. 2148 พระองค์ไล (ราชโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ ซึ่งเกิดกับพระสนมชาวบ้านบางปะอิน) ได้ถวายตัวเป็นทหารมหาดเล็กของพระเอกาทศรถ วันหนึ่งพระองค์ไลมีความประสงค์อยากรู้ดวงชะตาราศีของท่าน จึงได้มาที่วัดกุฎีทองเพื่อให้อาจารย์ดี (หลวงพ่อดี) เจ้าอาวาสช่วยตรวจดูดวงชะตาของพระองค์ พระองค์ได้เดินทางข้ามฝากที่ท่าสิบเบี้ย เวลา 10.00 น. ถึงวัดเป็นเวลาที่ขณะนั้น อาจารย์ดีกำลังนั่งวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในกุฏิ พระองค์ไลจึงออกไปนั่งรออยู่ที่ศาลาท่าน้ำ เมื่อถูกลมพัดเย็นๆ ก็ลืมองค์เอนกายลงนอนหลับไป จนกระทั่งได้ยินเสียงเด็กวัดตีกลองเพล ตื่นขึ้น เมื่อท่านอาจารย์ดีฉันเพลแล้วพระองค์ไล ได้ยินท่านอาจารย์ดีพูดกับเด็กวัดว่า "วันนี้มีผู้มีบุญมาที่วัดเรา" เด็กวัดจึงถามว่า "ผมไม่เห็นมีคนขี่ม้าขาวแต่งเครื่องเต็มยศหรือ คนขึ้นคานหามที่มีขบวนแห่ที่ไหนมาในวัดเราเลยหลวงพ่อ" ท่านอาจารย์ดีจึงตอบว่า "คนที่นั่งรออยู่ที่ศาลาท่าน้ำนั่นแหละคนมีบุญ ไปตามมาหาหลวงพ่อหน่อย" เมื่อเด็กวัดไปตามพระองค์ไลมาพบแล้ว ท่านก็ถามพระองค์ไลถึงความประสงค์ที่มาวัด พระองค์ไลก็กราบเรียนอาจารย์ดี ว่า "ต้องการมาให้ตรวจดวงชะตาราศี และที่อาจารย์พูดกับเด็กวัดว่าคนที่มีบุญมาวัดนั้นเป็นใครที่ไหนหลวงพ่อ" หลวงพ่อตอบว่า "พ่อหนุ่มนี่แหละ"

พระองค์ไลถามต่อไปอีกว่า "หลวงพ่อยังไม่ได้ตรวจดูดวงเลยทราบได้อย่างไร"

อาจารย์ดีตอบว่า "ได้ยินเสียงกรนเมื่อนอนหลับอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ เสียงดังเหมือนฆ้องไชยดังหึ่มๆ นั่นแหละตามตำราว่า เสียงคนมีบุญ"

ต่อจากนั้นพระองค์ไลก็กราบเรียนแจ้ง วัน เดือน ปีเกิด ให้อาจารย์ทราบ เมื่ออาจารย์ผูกดวงแล้วถึงกับสะดุ้ง แลนั่งนิ่งไปพักใหญ่ พระองค์ไลกราบเรียนถามว่า "หลวงพ่อนิ่งด้วยเหตุอันใด" (ในสมัยก่อนนี้ ถ้าใครพูดว่าคนนั้น คนนี้จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินในอนาคตดีไม่ดีก็ถูกหาว่าจะเป็นกบฎ ทำให้พูดยาก) เมื่อพระองค์ไลกราบเรียนซักถามบ่อยครั้งขึ้น อาจารย์ดีก็ค่อยๆ กระซิบพูดขณะที่ไม่มีผู้อื่น "อย่าไปพูด เมื่อถึงปี พ.ศ. 2173 พ่อหนุ่มจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน" พระองค์ไลพูดค้านขึ้นว่า "เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะสมเด็จพระเอกาทศรถ มีราชโอรสคือ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ และเจ้าพระพิมลธรรม วัดระฆัง ก็เป็นราชโอรส"

ท่านอาจารย์ก็ยืนยันว่า "ตามดวงชะตาราศีของพระองค์ไล ดังกล่าวจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินแน่ ถึงจะมีองค์รัชทายาทอยู่ก็ตาม "

พระองค์ไลจึงพูดเป็นคำสัญญาโดยไม่ใคร่จะเชื่อเพราะไม่แน่พระทัยว่า "ถ้าเกิดได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินแน่จริงๆ จะสนองพระคุณหลวงพ่อ โดยปิดทองกุฏิให้ทั้งหลัง เป็นความสัจ"

กาลเวลาต่อจากนั้นมาจนถึงปี พุทธศักราช 2173 พระองค์ไลได้ขึ้นครองราชย์สมบัติให้พระนามว่าพระเจ้าปราสาททอง สมจริงคำทำนายของพระอาจารย์ดี พระเจ้าประสาททอง จึงสั่งให้ช่างหลวงมาปิดทองที่กุฏิท่านอาจารย์ดี เป็นทองทั้งหลัง ในส่วนของอาราม พระเจ้าประสาททองได้บูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่บางส่วน โดยก่อกำแพงแก้วรอบนอกชั้นล่างห่างออกมาอีก มีขนาดกว้างประมาณ 60 เมตร ยาวประมาณ 80 เมตร โคกกำแพงแก้วด้านพระอุโบสถร่วมในสูง 3 วาเศษ เป็นของเก่า ส่วนร่วมหน้าพระอุโบสถนั้น กว้าง 12 เมตร ยาว 24 เมตร ประตูด้านหน้า 2 ช่อง ด้านหลัง 2 ช่อง หน้าต่างด้านตะวันออก และตะวันตก อีกด้านละ 3 ช่อง
....................................
ต่อมาก่อนปีพุทธศักราช ๒๓๙๕ จากหนังสือเกี่ยวกับประวัติสมเด็จพุฒาจารย์ (โต ) พรหมรังษี ผู้เขียนหลายท่านได้เขียนตรงกันว่า

"...ต่อมาในภายหลัง ได้เข้าศึกษามายาศาสตร์ต่อที่สำนักพระอาจารย์แสง จังหวัดลพบุรีอีกองค์หนึ่ง...ขรัวแสง คนทั้งปวงนับถือกันว่าเป็นผู้มีวิชา เดิมตั้งแต่เมืองลพบุรีเข้าลงไปเพลที่กรุงเทพฯ ได้ เป็นคนกว้างขวาง เจ้านายขุนนางรู้จักหมด ได้สร้างพระเจดีย์สูงไว้องค์หนึ่งที่วัดมณีชลขันธ์ คือวัดเกาะ ซึ่งเจ้าพระยายมราช (เฉย) ต้นสกุล ยมาภัย สร้าง) ตัวไม่ได้อยู่ที่วัดนี้ หน้าเข้าพรรษาไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอื่น ถ้าถึงออกพรรษาแล้วมาปลูกโรงอยู่ริมพระเจดีย์ ๒ องค์นี้ ซึ่งก่อเองคนเดียวไม่ยอมให้คนอื่นช่วย ราษฎรที่นับถือพากันช่วยเรี่ยไรอิฐปูน และพระเจดีย์องค์นี้เจ้าของจะทำแล้วเสร็จตลอดไป หรือจะทิ้งผู้อื่นช่วย เมื่อตายแล้ว ไม้ได้ถามดู ของเธอก็สูงดีอยู่....."

จากหลักฐานดังกล่าวข้างต้นนี้ แสดงว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้หนีการแต่งตั้งสมณศักดิ์ ธุดงค์มาพักอยู่ที่อยุธยา กับพระอาจารย์แสง (พระอาจารย์แสงเป็นพระอาจารย์ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ตั้งแต่ครั้งยังบรรพชาเป็นสามเณร พระอาจารย์แสงนี้ อยู่ที่วัดมณีชลขันธ์ (วัดเกาะ) จังหวัดลพบุรี

หน้าเข้าพรรษาไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอื่น ถ้าออกพรรษาแล้วมาปลูกโรงอยู่ริมเจดีย์ 2 องค์ในบริเวณวัด จากหลักฐานดังกล่าวข้างต้นนี้ เพราะทางวัดกุฎีทองได้พบ กรุพระเครื่องจำนวนหนึ่งเป็นพระผงพิมพ์สมเด็จ และพระเนื้อผงศิลปะขอม ซึ่งน่าจะเป็นพระอาจารย์แสงนำเอามาจากลพบุรี ฉะนั้น วัดที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มาพักกับพระอาจารย์แสงที่จังหวัดอยุธยานี้ เห็นว่าควรจะเป็นที่วัดกุฎีทองนี้ สมเด็จโตและอาจารย์แสงได้มาบูรณะวัด และซ่อมแซมพระประธาน และพระอุโบสถ ให้ดีขึ้นเสร็จแล้ว ได้นำพระเนื้อผงพิมพ์สมเด็จและพิมพ์อื่นๆ
 ร่วมกับพระอาจารย์แสงทำการบรรจุเข้าไว้












1137.รูปหล่อปั้มหลวงพ่อเงิน พิมพ์ฐานสูง ปี15 วัดสมาบาป พิธีวัดท้ายน้ำ จังหวัดพิจิตร นิยม สายนี้รู้ดี พิธีเดียวกับรูปหล่อปั้มหลวงพ่อเงิน
คอแอล วัดบางคลาน ปี15 พิธีวัดท้ายน้ำเหมือนกัน  ที่ราคาหลักหมื่น บางองค์หลักแสน ใช้แทนกันได้เลยครับ หารูปหล่อปั๊มหลวงพ่อเงินรุ่นแรกหลักแสน หลักล้านไม่ได้ ใช้รุ่นนี้แทนได้ครับ นิยมอันดับต้นๆของรูปหล่อปั้มหลวงพ่อเงิน
หลวงพ่อเงินแล้วครับ ผิวหิ้ง เปิดบูชา 5500 สายตรงขายกันเกือบหมื่นครับสภาพนี้

หลวงพ่อเงิน บางคลาน ปี 15 ฐานสูง ออกวัดสมาบาปพิธีวัดท้ายน้ำ ปลุกเสกพิธีเดียวกับ หลวงพ่อเงิน บางคลาน ปี 15 พระปั๊มบรรจุกริ่ง ที่โด่งดัง ในขณะนี้
 มีลักษณะคล้ายกับพระรูปเหมือนปั๊ม หลวงพ่อเงิน ปี 15 ออกวัดบางคลาน ซึ่งเป็นรูปเหมือนปั๊มแบบปั๊มเครื่อง รายละเอียดจึงคมชัด เนื้อพระมีความตึงแน่นเป็นธรรมชาติ ด้านในองค์ บรรจุเม็ดกริ่ง แต่ส่วนที่แตกต่างนั้นคือบริเวณฐานขององค์พระซึ่งฐานของ หลวงพ่อเงิน บางคลาน ปี 15 ออกวัดสมาบาปพิธีวัดท้ายน้ำจะหนากว่าหลวงพ่อเงิน บางคลาน ปี 15 และด้านหน้าองค์พระจะตอกโค้ดคำว่า "หลวงพ่อเงิน" ซึ่งหลวงพ่อเงิน บางคลาน ปี 15 นั้นไม่มี ส่วนด้านหลังยังมีการตอกโค้ดว่า "วัดสมาบาปพิธีวัดท้ายน้ำ" อีกด้วย ฐานองค์พระกว้างประมาณ 1.8 ซม. สูงประมาณ 2.8 ซม. และรูกริ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4.5 มม. เท่าที่พบเห็นมีเพียงเนื้อเดียว คือ เนื้อทองเหลือง เข้าพิธีปลุกเสกที่วัดสุทัศนฯและวัดบางคลานพร้อมกันหลายวัด หลวงพ่อเงิน บางคลาน ปี 15 ราคาไปหลายหมื่นบาทหรือสวยๆบางองค์ราคาเกินแสนแล้ว หลวงพ่อเงิน บางคลาน ปี 15 ฐานสูงออกวัดสมาบาปพิธีวัดท้ายน้ำนี้
บอกเลยน่าเก็บราคายังถือว่าเบากว่ามาก













1138.นำเสนอพระหายาก พบเจอน้อย พระผงข้าวเย็น (พิมพ์พระคง) ครูบาสม วัดศาลาโป่งกว๋าว สะเมิง จ.เชียงใหม่
ทำจากข้าวที่เหลือจากก้นบาตร นำมาผสมกับว่านมงคล ๑๐๘  ตำนานครูบาหนังเหนียวแห่งขุนเขาสะเมิง ยุคต้น (หายากมากๆๆ) ปี0กว่าๆ
หายากกว่าเหรียญรุ่นแรกท่านที่ราคาเฉียดหมื่นอีกครับ
เปิดบูชา 1300-




ครูบาสม โอภาโส เกิดเมื่อ วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 หมู่บ้านแม่ใน ป่าม่วง ต.ป่าม่วง(เดิม) ปจจุบันคือ ตำบลแม่แรม อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่ เดิมชื่อ “อินสม” บิดาชื่อจอม มารดาชื่อชุ่ม นามสกุล ดูมวัน มีพี่น้องด้วยกันสองคนคือ 1. ด.ช. อินสม ดูมวัน 2 . ด.ญ. จันทร์ฟอง ดูมวัน(เสียชีวิตตั้งแต่อายุได้เจ็ดขวบ) ท่านอายุได้ 7 ขวบ มารดาได้เสียชีวิตลง หลังจากเสร็จสิ้นพิธีปลงศพและอุทิศส่วนกุศลให้แก่มารดาท่านแล้ว บิดาของท่านได้นำไปฝากให้เล่าเรียนกับ ครูบาพรหมเสน วัดทุ่งล้อม ท่านได้เล่าเรียนภาษาไทยอักขระ ภาษา พื้นเมือง ซึ่งท่านได้ตั้งใจเล่าเรียนด้วยความสนใจและขยันหมั่นเพียรจนแตกฉานครูบาพรหมเสนมีความเห็นว่าสมควรให้ท่านบรรพชาและให้ฉายาใหม่ว่าสามเณรพรหมรังสี เล่าเรียนอยู่วัดทุ่งล้อมได้สามพรรษาครูบาพรหมเสนจึงได้นำไปฝากเรียนนักธรรมที่โรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดสำเภา อ.เมืองจ. เชียงใหม่ จวบจนท่าน อายุ 22 ปี ในปีพ. ศ. 2477 ก็ได้กลับมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมา วัดแม่ริม ต. ริมใต้ โดยมีพระครูคันธาวงษ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการแก้วเป็นพระกรรมวาจารย์ และ ได้รับฉายาใหม่ว่า “โอภาโส” และไปจำพรรษา อยู่ที่วัดป่าม่วง อ.แม่ริม ต่อมาท่านได้กราบเป็นลูกศิษย์อุปฐากของครูบาศรีวิชัย ณ วัดสวนดอก วัดพระสิงห์ สร้างทางขึ้นดอยสุเทพ วิหารครอบรอยพระพุทธบาทสี่รอยพระธาตุม่อนเปียะ อ. สะเมิง และสถานที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง ท่านได้ยึดถือตามรอยปฎิบัติ ของ ครูบาศรีวิชัยสม่ำเสมอตลอดชีวิตของท่าน และในปี 2480 คณะศรัทธา วัดศาลาโป่งกว๋าว โดยการนำของพ่อหลวง แก้วซึ่งมีความศรีทธาเลื่อมใสใน พระสม โอภาโส พร้อมใจกันไปกราบอาราธนานิมนต์ท่านจากวัดสวนดอกมาเป็นเจ้าอาวาสวัดศาลาโป่งกวาว ต. สะเมิงเหนือ อ. สะเมิงท่านได้ทำหน้าที่เจ้าอาวาสอบรมสั่งสอนศรัทธาสาธุชน ศิษย์ พร้อมทั้งปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานภาวนา ตลอดจนสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ของวัดโป่งกวาวและวัดอื่นๆ เช่นวัดแม่เลย วัดแม่แพะวัดป่ากล้วย วัดรุ่งอรณ วัดต้นตัน วัดป่าม่วง วัดน้ำตกแม่สา และสร้างพระเจ้าตนหลวงอ .สะเมิง สำนักสงฆ์พระบาทตีนดอย ในปีพุทธศักราช 2480 คณะสงฆ์อำเภอสะเมิงได้แต่งตั้งให้ท่านเจ้าคณะตำบลสะเมิงเหนือ จนถึงปีพุทธศักราช 2498 และท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พัดยศ เป็นพระครูสม โอภาโสในปี 2519 และในปี พุทธศักราช 2532 ท่านได้อาพาธ และมรณภาพเมื่อวันที่๒๕ มิถุนายน พ.ศ.2536 เวลา 21.09 น. ด้วยโรคชรา สิริรวมอายุ 82 ปี 60 พรรษา



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 09, 2019, 04:18:53 PM โดย thesun »



1139.พระรอด รุ่นแรก  หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี ปี06 เนื้อผงใบลาน นิยมครับ 600-






1140.เหรียญชัยมงคล  หลวงปู่ครูบาอิน วัดฟ้าหลั่ง เชียงใหม่ ปี37 ทองแดงผิวไฟ เหรียญยอดนิยมครูบาอิน เป็นเหรียญประสบการณ์คับ
คนพื้นที่เก็บหมดครับ
เปิดบูชา 600-

พระเหรียญชัยมังคลัง(ชัยยะมังคะลัง)ครูบาอิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง ปี2537
 เหรียญชัยมงคล(ชะยะมังคะลัง) หลวงปู่ครูบาอิน ปี2537 เหรียญรุ่นนี้มีชื่อว่ารุ่น ชัยมงคล หรือ ชะยะมังคะลัง ด้านหลัง เป็นตัวอักษรล้านนา จารึกว่า เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุเต ชะยะมังคะลัง ซึ่งเป็นพระคาถาที่ตัดตอนมาจากพระคาถาพระเจ้าชนะมาร พร้อมยันต์ 5 __จำนวนการสร้าง__เนื้อเงิน 20 เหรียญ(ตอก 2 โค้ด)__นวะโลหะ 199 เหรียญ(ตอก 1 โค้ด)__ทองแดง 3000 เหรียญ(ไม่ตอกโค้ด)__ด้านหลังมี 2 แบบ คือ1,หลังตัวหนังสือลึก(หลังลึก) 2,หลังตัวหนังสือตื้น(หลังตื้น)...เหรียญชัยมังคลัง(ชัยยะมังคะลัง)ครูบาอิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่มีประสบการณ์ชัดเจน หลายครั้งหลายครา หลานนักการเมืองท้องถิ่นถูกยิง ไม่เข้า.....อีกเหตุการณ์ หลวงปู่สั่งให้คนๆหนึ่งห้อยเหรียญรุ่นนี้ไว้ เป้นเนื้อทองแดง และตะกรุดโทนเนื้อเงินด้วยญาณหยั่งรู้เหตุการอนาคต(อนาคตังสญาณ)ของหลวงปู่ บอกว่าจะมีเคาะห์กรรมหนัก เกิดอุบัติเหตุให้ห้อยไว้ติดตัว ตัวจะบาดเจ็บ ไม่ตาย แต่จะสุญเสียรถยนต์ไป จากนี้ไปอีกไม่นาน หลังหลวงปู่ละสังขารแล้วคนๆนั้นได้ประสบอุบัติเหตุจริงๆ ทุกอย่างเหมือนหลวงปู่ได้บอกไว้...หลวงปู่ครูบาอิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง ท่านเป็นต้นตำรับพระคาถาไชยเบ็งชร หรือ พระคาถาชินบัญชรล้านนา ไม่ว่าจะปลุกเสก หรือ ให้ศีลให้พร ต้องมีคาถาร่วมด้วยเสมอ...หลวงปู่ครูบาอิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง ท่านเป็นพระสงฆ์ไม่กี่รูปที่ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง ให้ความเคารพนับถือในภูมิธรรม ขนาดเคยเดินทางมาสักการะ ด้วยตนเองถึงวัดหลายหน แม้ว่าจะต่างนิกายกันก็ตาม ซึ่งเป็นเครื่องหมายการันตีอย่างดียิ่ง...หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆสิตาราม เคยกล่าวถึงหลวงปู่ครูบาอิน อินโท ให้ลูกศิษย์ฟังว่า ขอเธอจงไปกราบครูบาอินที่เชียงใหม่และขอศึกษาวิชาจากท่านให้ดีๆ เถิด ท่านเป็นพระผู้เก่งกล้าสามารถมากจริงๆ...หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ เคยกล่าวถึงหลวงปู่ครูบาอิน อินโท ให้ลูกศิษย์ฟังว่า ดีอยู่แล้ว ดีอยู่แล้ว พระของครูบาอิน ไม่ต้องเสกอะไรอีกแล้ว...หลวงพ่อชม วัดโป่ง เคยกล่าวถึงหลวงปู่ครูบาอิน อินโท ว่าจิตของครูบาอิน ประภัสสรยิ่งแล้ว...ครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา (ครูบาวงศ์) วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม เคยกล่าวถึงหลวงปู่ครูบาอิน อินโท ว่าครูบาอินท่านมีจิตมีจิตบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งเลยทีเดียว...หลวงพ่อดาบส สุมโน อาศรมไผ่มรกต เคยกล่าวถึงหลวงปู่ครูบาอิน อินโท ว่าครูบาอินท่านเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบนะ...อีกทั้งหลวงปู่ครูบาอิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง ภายหลังมรณภาพแล้ว สรีระร่างกายของท่าน ก็ไม่ได้เน่าเปื่อยแต่อย่างใดถือว่าท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่จริงๆ









1141.บุเรงนองออกศึก ผงรุ่นแรก หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ปี2508 หายาก นิยม พระเครื่องมาตรฐานสากล ในทำเนียบ
หลวงพ่ออุตตมะ นานๆ เจอที


บุเรงนองออกศึก ผงรุ่นแรก ลพ.อุตตมะ ปี2508
เดียวนี้หายากมาก โดยเฉพาะสภาพสวยแบบนี้พระบุเรงนองเนื้อผงผสมดินเก่าจากบุเรงนองในถ้ำ เนื้อเป็นดินผสมผง เป็นรุ่นแรกที่หลวงพ่ออุตตมะสร้างและปลุกเสก
ประวัติคร่าวๆของพระบุเรงนอง กรุถ้ำ(ที่เป็นส่วนผสมสำคัญในการสร้าง พระบุเรงนองออกศึก รุ่นแรกของ ลพ.อุตตมะปี 2508)...เป็นพระอายุกว่า 400 ปี เป็นจักรพรรดิ์พระเครื่องคู่บัลลังก์หงสาวดี ของพระเจ้าบุเรงนองผู้ชนะสิบทิศ พระดีที่หายากยิ่งแห่งลุ่มน้ำอิระวดีค่ะ เป็นพระที่หลวงพ่ออุตตมะ แห่งวัดวังก์วิเวการาม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ท่านได้มาจากถ้ำในประเทศพม่า...พระยอดขุนพลบุเรงนองกรุเก่า อายุกว่า 400 ปี จักรพรรดิพระเครื่องคู่บัลลังก์หงสาวดี พระดีที่หายากยิ่งแห่งลุ่มน้ำอิระวดี ประวัติความเป็นมาโดยสังเขป ของพระยอดขุนพลบุเรงนองรุ่นเก่า ซึ่งปัจจุบันเป็นสุดยอดวัตถุมงคลที่หาได้ยากยิ่ง จากคำบอกเล่าของพระเดชพระคุณหลวงพ่ออุตตมะ แห่งวัดวังก์วิเวการาม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี โดยหลวงพ่ออุตตมะท่านได้เคยอ่านพบใน " ตำราโบราณ " ที่อดีตโบราณาจารย์ฝ่ายพม่ารามัญ ได้จดบันทึกไว้สืบต่อกันมานานนับเป็นร้อย ๆ ปี มีดังนี้
พระยอดขุนพลบุเรงนองของเก่าแก่ดั้งเดิมนั้น เป็นพระพิมพ์ดินดิบผสมว่านยาวิเศษ โดยได้จำลองพุทธลักษณะจาก " พระมหามัยมุนี " เป็นพระเครื่องที่พระเจ้าบุเรงนอง บรมกษัตริย์ผู้มีพระเดชานุภาพมากแห่งกรุงหงสาวดี ได้โปรดให้ พระมหาฤาษี ภูภูอ่อง ผู้เป็นพระราชครูผู้ใหญ่ ประจำพระราชสำนักแห่งพระเจ้าบุเรงนอง ซึ่งได้สำเร็จมหิทธิฤทธิ์ขั้นสุดยอดด้วยองค์คุณ 4 ประการ คือ ยา ยันต์ ปรอท และ ประคำ จนมีฤทธิ์ มีเดชสูงส่งอย่างยิ่งยวด เป็นผู้จัดสร้างและปลุกเสกขึ้น เพื่อทรงพระราชทานแก่ข้าราชบริพาร และเหล่าทหารหาญ เพื่อใช้ในการศึกสงครามโดยทั่วไป โดยแกะพิมพ์จำลองพุทธลักษณะของพระมหามัยมุนี พระพุทธรูปสำคัญ อันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุดของชาวพม่า ที่มีอายุการสร้างเกือบ 2,000 ปี ที่เดิมประดิษฐานอยู่ที่เมืองยะไข่ แต่ต่อมาได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่เมืองมัณฑเลย์ ตราบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ซึ่งพระยอดขุนพลบุเรงนองนี้ปรากฎพุทธคุณอันยอดเยี่ยมดีเด่นในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นในทางเมตตา แคล้วคลาด แต่จะหนักไปในแนว " อิทธิฤทธิ์ " คือทางด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี มหาอุด มหาอำนาจ เป็นหลักใหญ่ จนกระทั่งกองทัพของพระเจ้าบุเรงนอง สามารถปราบปรามหัวเมืองใหญ่น้อยในทุกหนแห่ง จนราบคาบอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในพงศาวดาร ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุให้พระเจ้าบุเรงนองได้รับพระสมัญญานามอีกพระนามหนึ่งว่า " ผู้ชนะสิบทิศ " ในเวลาต่อมา
โดยพระบุเรงนองนี้ พระฤาษีภูภูอ่องได้บรรจุไว้ที่ถ้ำแถวเมืองมะละแหม่ง ใกล้ชายแดนไทย-พม่า อยู่ 2 ถ้ำด้วยกัน คือ ถ้ำผาบง และ ถ้ำผาพะ แต่ก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าถ้ำทั้งสองแห่งนี้อยู่ที่ไหนกันแน่
อนึ่ง พระมหาฤาษีภูภูอ่องนั้น แต่เดิมเคยบวชเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา มีนามว่า " ญาณรังสี " แต่ต่อมาพระญาณรังสีพิจารณาเห็นว่าการที่พระภิกษุอยู่ในป่า บางครั้งก็มีเหตุให้จำต้องล่วงอาบัติของพระพุทธองค์อยู่เนือง ๆ ก็ให้รู้สึกไม่สะดวกใจ ด้วยเกรงจะเป็นบาปเป็นกรรม พระญาณรังสีจึงลาสิกขาออกมาถือพรตเป็นฤาษี พร้อมตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ รักษาศีล 8 ได้เป็นอย่างดีจนบรรลุอภิญญาสมาบัติขั้นสูงสุด จนได้สำเร็จฤทธิ์อภินิหารอันยอดยิ่งด้วยเหตุถึง 4 สถาน คือ
1. ยา ( รอบรู้ในตัวยาสมุนไพร และว่านยาที่มีฤทธิ์ทุกประเภทอย่างเจนจบ )
2. ยันต์ ( ปรีชาในอักขระคาถายันต์อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง )
3. ปรอท ( สำเร็จในการเรียกและใช้ปรอท ธาตุกายสิทธิ์ที่มีฤทธิ์กว่าธรรมดา จนถึงขั้นเหาะเหินเดินอากาศได้ )
4. ประคำ ( เครื่องช่วยกำหนดจิตภาวนาให้บังเกิดสมาธิจิต อันเป็นบาทฐานแห่งอภิญญาฤทธิ์ ซึ่งเป็นของมีมาเก่าแก่ สืบทอดมาแต่โบราณกาลนับเป็นพัน ๆ ปี )
สำหรับเหตุที่หลวงพ่ออุตตมะได้พระยอดขุนพลบุเรงนองมานั้น ต้องเท้าความไปตั้งแต่เมื่อครั้งที่หลวงพ่ออุตตมะยังเดินธุดงค์อยู่ มีเด็กชายชาวกะเหรี่ยงคริสต์คนหนึ่ง ( ซึ่งต่อมาได้เป็นหัวหน้ากะเหรี่ยง ) ซึ่งอยู่ในเขตประเทศพม่า ได้ป่วยเป็นโรคร้าย จนเพื่อนบ้านต่างพากันทอดทิ้ง ไม่มีใครกล้ามาดูแล และบังเอิญหลวงพ่ออุตตมะได้ธุดงค์มาพบเข้า ด้วยความเมตตาหลวงพ่อจึงได้ช่วยรักษาจนหาย ทำให้เด็กชายคนนี้นับถือหลวงพ่ออุตตมะเป็นอย่างยิ่ง กาลต่อมาหัวหน้ากะเหรี่ยงคริสต์รายนี้ได้มาเล่าให้หลวงพ่ออุตตมะฟังว่า ( ตอนนั้นหลวงพ่อมาอยู่เมืองไทยใหม่ ๆ ราวปี พ.ศ. 2490 กว่า ) วันหนึ่งขณะที่พวกตนถูกพวกพม่าตามไล่ล่า จนกระทั่งหนีเข้าไปหลบซ่อนในถ้ำ ๆ หนึ่ง แถวเมืองมะละแหม่ง พวกทหารพม่าได้ใช้ปืนกล และอาวุธสงครามยิงกรอกปากถ้ำ เพื่อฆ่าพวกตนให้ตายคาถ้ำ นับเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ นัด จนพวกทหารพม่าคิดว่าพวกกะเหรี่ยงที่อยู่ในถ้ำคงจะตายกันไปหมดแล้ว จึงได้ถอยทัพกลับไป ครั้นพอรุ่งเช้าพวกบรรดากะเหรี่ยงที่ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ก็ออกจากที่ซ่อนในถ้ำมาสังเกตุการณ์ เห็นปลอกกระสุน และลูกปืนตกกระจายอยู่เต็มไปหมด แต่ไม่มีกระสุนแม้แต่เพียงนัดเดียว ที่จะวิ่งผ่านเข้ามาถึงข้างในที่พวกตนซ่อนอยู่ได้ ก็แปลกใจ เลยคิดว่าถ้ำแห่งนี้คงต้องมีของดีของวิเศษอยู่แน่ ๆ เลยสำรวจในถ้ำดูว่ามีอะไรดี จึงได้เจอกับ กองพระขนาดย่อม ๆ ที่วางกองกันไว้อยู่ในถ้ำนั้น แต่พวกตนเป็นกะเหรี่ยงคริสต์จึงไม่ทราบว่าคืออะไร จึงได้นำมาให้หลวงพ่ออุตตมะดู เมื่อได้พิจารณาดูหลวงพ่อก็ทราบทันทีว่านี่คือ พระยอดขุนพลบุเรงนอง ที่เคยได้ยินเรื่องราวมานั่นเอง จึงได้สั่งให้หัวหน้ากะเหรี่ยงคนนี้พาคนไปช่วยกันขนพระออกมาจากถ้ำ และนี่เองคือปฐมเหตุแห่งการ แตกกรุ ของพระยอดขุนพลบุเรงนอง
สำหรับพระยอดขุนพลบุเรงนองนี้ ปัจจุบันได้กลายเป็นของดีที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง อันเป็นที่ใฝ่ฝันสำหรับบรรดาศิษย์ใกล้ชิดของหลวงพ่ออุตตมะ รวมทั้งผู้ที่รู้ประวัติความเป็นมา เพราะนอกจากผู้ที่รู้ความเป็นมาที่แท้จริง ต่างก็พากันหวงสุด ๆ แล้ว ด้วยระยะเวลาที่ล่วงเลยมาเนิ่นนานถึง 400 กว่าปีมาแล้ว พระบุเรงนองที่สร้างด้วยเนื้อดินผสมว่าน ได้ชำรุดแตกหักไปเป็นอันมาก จึงทำให้มีน้อยคนนักที่จะได้ครอบครองพระยอดขุนพลที่นับเป็นจักรพรรดิ์พระเครื่องแห่งลุ่มแม่น้ำอิระวดีอย่างแท้จริง พระบุเรงนองจะมีด้วยกันหลายพิมพ์ทรง ซึ่งจะมีความแปลกอยู่ที่ว่าแต่ละองค์นั้นจะไม่มีองค์ไหนเหมือนกันเลย จะมีความแตกต่างกันไปเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว (ขอบคุณข้อมูลของคุณศิพนันทน์ ทองดีเลิศ)







1141.1 900-







1141.2 900-








1142.พระปรกใบมะขามรุ่นแรกหลวงปู่ศรี มหาวีโร ศิษย์ตลาดแคสร้างถวาย ปี30 400-

พระปรกใบมะขาม หลวงปู่ศรี มหาวีโร รุ่นแรก ปี 30 ศิษย์ตลาดแคสร้างแจกผู้ที่ทำบุญสร้างอุโบสถ์วัดตลาดแค พิธีปลุกเสกที่มีพระเกจิปลุกเสกหลายรูปเมื่อวันที่24 ม.ค.30
หลวงปู่ศรี มหาวีโร เมตตาตั้งใจอธิฐานจิตนานที่สุดตั้งแต่ 13.00น ถึง18.00น.โดยมิได้ลุกออกไปไหนเลย..อีกทั้งยันต์ที่ด้านหลังเหรียญเป็นยันต์สี่ตัวที่หลวงปู่ศรีเมตตาเขียน
ให้ผู้จัดสร้างเพื่อใส่ไว้ด้านหลังเหรียญ..หลวงพ่อพุธ ฐานิโย.เป็นประธานจุดเทียนชัย..หลวงปู่ศรี ดับเทียนชัย ร่วมอธิฐานจิตโดย หลวงปู่แจ้ง วัดใหม่สุนทร โนนสูง
และคณาจารย์อีกหลายรูป จำนวนการสร้าง เนื้อทองคำ 19 องค์ ... เนื้อเงิน 119 องค์ ... เนื้อนาก 9 องค์ ...
 เนื้อทองแดงชุบทอง 20000 องค์ (บรรจุกรุ 20000 องค์) มีประสบการณ์มากมาย








1143.พระหล่อชินราชหลังอกเลา หลวงพ่อพันธ์ วัดบางสะพาน จ.พิษณุโลก ปี10 มีทั้งแบบตอกโค้ต
และไม่ตอกโค้ต องค์นี้ไม่ตอกโค้ต หายาก สร้างน้อยครับ สวยๆ
1,200-




หลวงพ่อพันธ์ วัดบางสะพาน
หลวงพ่อพันธ์ เกิดเมื่อเดือนกันยายน ๒๔๓๖ ที่บ้านโพนหนอง ต.นาหอ อ.ด่านซ้าย จ.เลย ภายหลังครอบครัวได้อพยพมาอยู่ที่ จ.พิษณุโลก ได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่วัดน้อย ชอบศึกษาคาถาอาคมและสมุนไพรว่านยามาตั้งแต่เด็ก พออายุได้ ๑๘ ปี ได้เข้ารับราชการเป็นพลตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอนครไทย เมื่อ พ.ศ. ๔๕๔ ซึ่งขณะนั้นมีหลวงปู่หุย วัดหัวร้อง นครไทย และหลวงพ่อเรือง วัดบ้านดง ชาติตระการ เป็นผู้เรืองอาคม เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไปยิ่งนัก ท่านชอบเข้าป่าหาว่านยาและแร่ธาตุต่างๆ กับศึกษาอาคม เพื่อป้องกันตัว และไข้ป่า

เนื่องจากอำเภอนครไทย หรือเมืองบางยาง ของพ่อขุนบางกลางท่าว หรือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นป่าดงดิบ มีสัตว์ร้ายชุกชุม ในสมัยนั้นหากข้าราชการผู้ใดถูกย้ายไปนครไทยก็เท่ากับเขาใช้ให้ไปตาย จนอายุครบ ๒๑ ปี จึงลาออกจากราชการตำรวจ อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดราชบูรณะ มีพระครูอนุโยคศาสนกิจ (รอด) วัดนางพญา (เจ้าคณะแขวง และเจ้าของเหรียญพระเกจิอาจารย์เหรียญของเมืองพิษณุโลก พ.ศ.๒๔๖๐) เป็นพระอุปัชฌาย์ ใน พ.ศ.๒๔๕๗ ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมวิปัสสนากรรมฐาน และพุทธาคม เพิ่มเติมจากพระอุปัชฌาย์ และตำราโบราณ จนเชี่ยวชาญแตกฉาน



ภายหลังได้ลาสิกขาเพื่อดูแลบิดามารดาที่ป่วย มิได้มีผู้ดูแลอยู่สักพักหนึ่ง ท่านรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตฆราวาส หาความสงบได้ยากยิ่ง จึงขออนุญาตบิดามารดาอุปสมบทใหม่ ที่พัทธสีมาวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร โดยมีพระวรญาณมุนี (พร้อม พุทธสโร) เจ้าคณะมณฑลพิษณุโลก เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายาว่า "สุสิโม" แปลว่า ผู้มีความเชี่ยวชาญในพระเวทย์ จนได้ ๕ พรรษา ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลดอนทอง และใน พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูประพันธ์ศีลคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ และเจ้าคณะอำเภอวังทอง (เจ้าคณะแขวงนครป่าหมาก เดิม) จึงย้ายมาจำพรรษาที่วัดตลาดชุม หรือวัดวังทองวราราม ในปัจจุบัน



หลวงพ่อพันธ์ เริ่มนำว่านยา แร่ธาตุต่างๆ มาผสมบดรวมกับชานหมาก และมหาอุด ทำจากไม้ไผ่รวกยอดด้วน ชี้ไปทางทิศตะวันขึ้น บรรจุเศษไม้สากแม่ม่าย ชานหมาก อุดด้วยดินขี้สูตดินราบ บวชพระ ๑ ครั้ง ทำได้ไม่เกิน ๒-๓ ดอก เมื่อพระสวดถึงมิ ก็ภาวนาอุด แล้วเอามีดปาดทันที นำลงอักขระเสกกำกับที่กุฏิ ๓ คืน ตลอดจนชายจีวรที่ท่านนำไปห่มต้นโพธิ์ และมีเด็กมาเลี้ยงวัวในวัดเอานำจีวรที่ต้นโพธิ์ไปทำหางว่าว แล้วเกิดทะเลากับเพื่อน จึงถูกเพื่อนฟันด้วยมีด แต่ไม่เข้าไม่ระคายผิว จึงลือลั่นไปทั่ว และมีเกียรติศัพท์ด้านอยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดปลอดภัย ในสงครามอินโดจีน จึงมีผู้คนไปขอชานหมากและชายจีวร ตะกรุด ปลอกลูกปืน ลงอักขระ รูปอัดกระจก จนท่านเคี้ยวและเสกแจกให้เกือบไม่ทัน


ในยุคแรก ทหารพิษณุโลกที่ไปราชการสงคราม มาขอของดีจากท่าน อาทิ พลทหารบุญเลิศ มีศิลป์ อาสาสมัครไปรบสมรภูมิเวียดนามและลาว ถูกยิงหลายครั้ง แต่กระสุนปืนไม่ระคายผิวหนังแต่ประการใด
หลวงพ่อต้องรับธุระพระพุทธศาสนา ในฐานะเจ้าคณะปกครอง ปฏิบัติศาสนกิจมาหลายปี ไม่มีเวลาที่จะแสวงหาความสงบได้ โดยปกติหลังออกพรรษาท่านจะเดินเท้าเข้าป่า เขตวังทอง นครไทย ชาติตระการ ด่านซ้าย เลย และเพชรบูรณ์ แสวงหาว่านยา แร่ธาตุ และเจริญวิปัสสนากรรมฐาน บางครั้งท่านหายไปเป็นสิบๆ วัน ชาวบ้านคิดว่าท่านคงถูกเสือหรือสัตว์ป่าทำร้าย หรือเป็นไข้ป่าเสียชีวิตไปแล้ว เมื่อท่านกลับออกมาอย่างปลอดภัยพร้อมว่านยา เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก  ด้วยความสมถะสันโดษ ในลาภยศ ท่านจึงลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอวังทอง แล้วย้ายมาอยู่ที่วัดบางสะพาน คณะศิษย์ได้ทำแม่พิมพ์พระเครื่อง พิมพ์ต่างๆ หลายแบบ มาถวายให้ท่านนำชานหมากและว่านยามากดพระพิมพ์ด้วยมือของท่าน ซึ่งท่านก็มีเมตตาแจกอย่างทั่วถึง และยังไม่เคยปรากฏพบว่าบุคคลที่รับของจากท่านไปแล้วนำติดตัวไปจะตายโหง หรือถูกอาวุธตายสักรายเดียว


คณะศิษย์ได้จัดสร้างเหรียญรูปเหมือนมาถวายให้ท่านปลุกเสก ประกอบด้วย เหรียญรุ่นแรก รูปพัดยศ ฉลองพัดยศ เจ้าคณะอำเภอชั้นเอก ในราว พ.ศ.๒๔๙๐
นิยมเรียกว่า เหรียญจักร, เหรียญรุ่น ๒ เหรียญสองหน้า พ.ศ.๒๕๑๒


เหรียญรุ่น ๓ ฉลองอายุ ๘๐ ปี พ.ศ.๒๕๑๖ นิยมเรียกว่า เหรียญขวาน เนื่องจากมีประสบการณ์คล้องเหรียญรุ่นนี้ไปเที่ยวงานเขาสมอแคลงแล้วถูกฟันด้วยขวาน
ไม่เข้า ไม่ระคายผิว หรือไม่มีเลือดตกยางออกแต่ประการใด และเหรียญรูปเหมือนรูปไข่ พ.ศ.๒๕๑๗ เนื้อทองคำ เท่าอายุ ๘๑ เหรียญ
พิมพ์หลังยันต์ครู (๒๕ เหรียญ) และพิมพ์หลังพระพุทธชินราช (๕๖ เหรียญ) และเนื้อเงินและทองแดง ตลอดจนรูปหล่อโบราณหลวงพ่อพันธ์ รุ่นแรก,
พระพิมพ์พระพุทธชินราช และพระนางพญาเนื้อโลหะหล่อโบราณ เทดินไทย โดยฝีมือ จ.ส.อ.ดร.ทวี บูรณะเขตต์ เป็นช่างหล่อ
ปลุกเสกหารายได้สร้างบันไดวัดเขาสมอแคลง ใน พ.ศ.๒๕๑๐ เป็นต้น

พระเครื่องวัตถุมงคลชนิดต่างๆ ของหลวงพ่อพันธ์ มีพุทธคุณสูงส่ง จนเป็นที่ประจักษ์ในด้านแคล้วคลาดปลอดภัยเป็นเอกอุ จึงเป็นพระเครื่องพระเกจิอาจารย์ยอดนิยมเมืองพิษณุโลก เป็นที่นิยมแสวงหาหวงแหนกันมากเป็นยิ่งนักในปัจจุบัน


หลวงพ่อพันธ์ วัดบางสะพาน ได้ละสังขารเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๘ สิริอายุได้ ๘๒ ปี ปัจจุบันสังขารของหลวงพ่อพันธ์ที่มรณภาพมากว่า ๓๖ ปี ยังไม่เน่าสลายไปตามหลักธรรมชาติ เป็นรูปแรกของเมืองพิษณุโลกด้วยบุญฤทธิ์ จิตตานุภาพที่หลวงพ่อได้บำเพ็ญเพียรมาตลอดระยะเวลาในสมณเพศ สมดังฉายาที่ว่า "สุสิโม" ผู้มีความเชี่ยวชาญในพระเวทย์อย่างแท้จริง






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 13, 2019, 06:42:55 PM โดย thesun »



1144.พระเนื้อผงพิมพ์เตารีด ครูบาขันแก้ว วัดสันพระเจ้าแดง เชียงใหม่ รุ่นแรก จัดสร้างปี 2521 เนื้อดำหายาก สวยๆ 700-

พระเนื้อผงพิมพ์เตารีด ครูบาขันแก้ว ขันติธรรม รุ่นแรก จัดสร้างปี 2521 โดยคุณหมอสมสุข คงอุไร ซึ่งคุณหมอท่านสร้างให้ครูบาขันแก้ว
เพื่อให้บูชาทำบุญทอดกฐินที่วัดสันพระเจ้าแดงในปี พ.ศ.2521 วิธีการจัดสร้างของคุณหมอสมสุข ท่านใช้สูตรเดิมจากการทำพระผงของหลวงพ่อพรหม
วัดช่องแค คือ นำผงพระพุทธคุณแก้ว 3 ดวงหลวงพ่อพรหม ,ครูบาชุ่ม และครูบาขันแก้ว(จำนวนมาก) และน้ำพระพุทธมนต์ศักสิทธิ์ 5 วัด
 คือ วัดช่องแค วัดวังมุย วัดน้ำบ่อหลวง วัดพระพุทธบาทตากผ้า วัดสันพระเจ้าแดง +พลอยกิ๋นบ่เสี้ยงและเกศาของครูบาท่าน
นับว่าพระผงรุ่นนี้มีมวลสารสุดยอดมากครับ ซึ่งการปลุกเสกของครูบาท่านเข้มขลังมากเป็นการปลุกเสกพระแบบมหาเจโตวิมุติอันประมาณค่าไม่ใด้
ซึ่งแม้แต่ครูบาขันแก้วท่านยังชมว่า  " พระรุ่นนี้ แม้ไม่เสกก็ยังขลัง "







1145.เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่บุญมา มุนิโก วัดบ้านหนองตูม จ.ขอนแก่น ปี15 พิมพ์4ชาย พุทธคุณสุดยอด
อดีตพระเกจิสายวิปัสสนาชื่อดังของเมืองหมอแคนและอีสาน ใครแขวนเหรียญหลวงปู่ไม่มีตายโหง หลวงพ่อคูณยังฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน 
 ไม่ธรรมดาแน่นอน สวยๆแชมป์ๆ
800-







1146.พระปิดตามหาอุตม์ รุ่นแรก หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป วัดป่าปทีปปุญญาราม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร ปี48 หายาก สวยๆ 700-










1147.เหรียญหลวงพ่อขาว วัดทุ่งศรีโพธิ์ จ.อยุธยา ปี29 หลวงปู่ดู่ปลุกเสก หายาก นิยมในสายหลวงปู่ดู่ครับ สวยๆ900-

วัตถุมงคลของวัดทุ่งศรีโพธิ์นั้น มีการสร้างเป็นครั้งแรก โดยหลวงตายุ้ยเป็นผู้สร้าง เมื่อประมาณปี 248X กว่าๆ หลวงตายุ้ยเป็นพระที่มิวิชาอาคมสูงมาก วัตถุมงคลที่หลวงตายุ้ยสร้างนั้น เป็นแหวนพิรอดที่ทำจากเชือกและลงรักทับไว้ซึ่งปัจจุบันนี้หายากมากๆหรืออาจจะถูกเล่นเป็นหลวงพ่อม่วงวัดบ้านทวนไปหมดแล้ว ต่อมาเมื่อปี 2529 ทางวัดได้จัดสร้างเหรียญขึ้นเป็นครั้งแรก ปรากฎเป็นเหรียญทรงเสมาเนื้อทองแดง จำนวน 10,000 เหรียญ ซึ่งปัจจุบันหายากมากและทางวัดไม่มีให้บูชาแล้ว ซึ่งเหรียญรุ่นนี้ ตาชุบ ซึ่งเป็นกรรมการวัดได้นำเหรียญหลวงพ่อกลั่นรุ่นแรกของแกไปถอดพิมพ์มา

เหรียญรุ่นนี้ได้รับการปลุกเสกจากเกจิจอมขมังเวทย์แห่งเมืองกรุงเก่าหลายท่าน เช่น ท่านเจ้าคุณ ไวย์ วัดบรมวงศ์ เจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ, หลวงปู่ดู่ วัดสะแก และ เกจิร่วมสมัยอีกหลายท่าน

จากผู้ที่ได้นำไปบูชาหรือติดตัวได้เล่าว่า เขาได้นำเหรียญหลวงพ่อขาวรุ่นแรก ติดตัวไปทำงานขับรถอยู่ประเทศซาอุ เกิดอุบัติเหตุรถหลายคันโดนพายุทะเลทรายพัดทรายถล่ม เหลือรถของเขาเพียงคันเดียวที่รอดชีวิตมาได้และกลับมาประเทศไทย ได้ร่วมกับญาติพี่น้องมาทอดกฐินอีกครั้ง จึงเล่าให้ฟังว่าเขารอดตายมาได้ด้วยอภินิหารหลวงพ่อขาวเพราะเขามีเครื่องยึดเหนี่ยวเพียงเหรียญหลวงพ่อขาวรุ่นแรกเพียงเหรียญเดียว






1148.พระเนื้อผงพิมพ์จันทร์ลอย หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ปี16 วัดบ่อวินจัดสร้าง โดยผสมสุดยอดมวลสาร เลียมเรซิ่นเดิม ๆ จากวัด หลวงปู่ทิม อธิษฐานจิตเป็นปฐมฤกษ์
หลังจากนั้นผู้สร้างยังได้นำไปให้พระสุปฏิปัณโณอธิษฐานจิตเพิ่มให้อีก  ตัวจริงเสียงจริง  หนึ่งในทำเนียบวัตถุมงคลหลวงปู่ทิม เดิมๆ
ปิดครับ
แต่ก่อนแรงๆเกือบหมื่นครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 25, 2019, 04:41:59 PM โดย thesun »




 

ติดต่อผู้ดูแลเว็บ หรือ สนใจลงโฆษณา โทร ๐๘๖๒๒๒๐๐๕๕

อีเบย์ อุดรธานี ร่ม รับนำเข้าสินค้าจากจีน power bank กระบอกน้ำ ของพรีเมี่ยม แฟลชไดร์ฟ plc mitsubishi ปากกา taobao เฟอร์นิเจอร์ แหวนเพชร servo motor mitsubishi