แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - motherhood

หน้า: [1]
1
ทารกท้องเสีย พ่อแม่จะช่วยยังไงดี?


เรื่องสุขภาพของลูกน้อยเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ให้ความสำคัญที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเขายังเป็นทารกตัวน้อย และเมื่อ “ทารกท้องเสีย” คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะทำอะไรไม่ค่อยถูก หรือลังเลใจว่าจะใช่อาการท้องเสียแน่หรือเปล่า เพราะลูกก็ยังไม่ได้เริ่มรับประทานอาหารที่มีกากใยเลย วันนี้ Motherhood จะมาแนะนำวิธีดูอาการท้องเสียและวิธีบรรเทาอาการท้องเสียของทารกกันค่ะ

ดูอย่างไรว่าลูกท้องเสีย?
เมื่อทารกมีอาการท้องเสีย เขาจะถ่ายเหลวมากและดูเหมือนว่ามีสัดส่วนมาจากน้ำมากกว่าของแข็ง มันสามารถเป็นได้ทั้งสีเหลือง สีเขียว หรือสีน้ำตาล และสามารถซึมหรือแม้กระทั่งระเบิดออกมาจากผ้าอ้อม อาการท้องเสียอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือโรคภูมิแพ้ หากอาการท้องเสียกินเวลานานโดยไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ

หากลูกน้อยมีอาการไม่ดีขึ้น ควรโทรปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะเมื่อลูกน้อยอายุต่ำกว่า 3 เดือน และมีอาการดังนี้
- มีไข้และท้องเสียยาวนานกว่า 2-3 วัน
- ขับถ่ายมากกว่า 8 ครั้งใน 8 ชั่วโมง
- อาเจียนต่อเนื่องนานกว่า 24 ชั่วโมง
- ท้องเสียมีมูกเลือด เมือก หรือหนอง
- ลูกน้อยของคุณเคลื่อนไหวน้อยกว่าปกติมาก (ไม่ลุกขึ้นนั่งหรือมองไปรอบ ๆ )
- ดูเหมือนจะมีอาการปวดท้อง


สาเหตุของอาการท้องเสีย
อาการท้องเสียในเด็กทารกมักจะกินเวลาไม่นาน ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากเชื้อไวรัสและสามารถหายไปได้เอง ลูกน้อยของคุณอาจมีอาการท้องเสียด้วย:
- การเปลี่ยนแปลงในอาหารของลูก หรือการเปลี่ยนแปลงในอาหารของแม่ ถ้าคุณเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
- การใช้ยาปฏิชีวนะโดยทารก หรือใช้โดยแม่ ถ้าคุณเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
- การติดเชื้อแบคทีเรีย ลูกน้อยของคุณจึงจะต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อให้ดีขึ้น
- การติดเชื้อปรสิต ลูกน้อยของคุณอาจจะต้องทานยาเพื่อให้ดีขึ้น
- โรคที่หายาก เช่น โรคปอดเรื้อรัง

ทำไมท้องเสียทำให้เกิดอาการขาดน้ำ?
ทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบสามารถขาดน้ำในร่างกายได้อย่างรวดเร็วและทำให้ป่วยหนัก การขาดน้ำหมายความว่าลูกน้อยของคุณมีน้ำหรือของเหลวไม่เพียงพอ ดูแลลูกน้อยของคุณอย่างใกล้ชิดเพื่อหาสัญญาณของการขาดน้ำซึ่งรวมถึง:
- ตาแห้ง และน้ำตาน้อยถึงไม่มีเลยเมื่อร้องไห้
- ผ้าอ้อมเปียกน้อยกว่าปกติ
- ไม่ค่อยกระฉับกระฉง ดูเซื่องซึม
- มีอาการระคายเคือง
- ริมฝีปากแห้ง
- ผิวแห้งที่ไม่กลับคืนสู่สภาพปกติหลังจากถูกบีบ
- ตาลึก
- กระหม่อมจม

จะช่วยได้อย่างไรเมื่อทารกท้องเสีย?
#1 ให้กินนมแม่หรือนมผงชง
ทารกสูญเสียของเหลวจำนวนมากเมื่อพวกเขามีอาการท้องเสีย ดังนั้นสิ่งสำคัญอันดับแรกคือการแทนที่ด้วยการให้นมหรือนมผงชงบ่อย ๆ หากลูกของคุณอาเจียนด้วยให้โทรปรึกษาแพทย์ และถามว่าคุณควรให้สารละลายอิเล็กโทรไลต์สำหรับเด็กแก่ลูกน้อยของคุณเพื่อป้องกันการขาดน้ำหรือไม่ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีอยู่ในร้านขายยา

#2 ให้โปรไบโอติกลูกน้อยของคุณ
การวิจัยแสดงให้เห็นว่าอาหารเสริมโปรไบโอติกบางอย่างสามารถลดจำนวนและระยะเวลาของการท้องเสียเป็นครั้งคราวลงได้ ปรึกษากับแพทย์ของคุณเกี่ยวกับอาหารเสริมประเภทนี้

#3 อย่าให้เครื่องดื่มที่มีรสหวาน
เมื่อลูกของคุณมีอาการท้องเสีย มันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะไม่ให้น้ำอัดลมแก่เขา เครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำหวาน และน้ำผลไม้ เครื่องดื่มเหล่านี้มีน้ำตาลจำนวนมากซึ่งจะดึงน้ำเข้าสู่ลำไส้และทำให้อาการท้องเสียแย่ลง โดยทั่วไปแล้วนมแม่หรือนมผงชงจะชดเชยอาการขาดน้ำให้ทารกอยู่แล้ว

#4 ดูแลให้ก้นของเขาแห้งอยู่เสมอ
ทำให้ก้นของลูกน้อยของคุณแห้ง โดยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เขาบ่อย ๆ ใช้ครีมกันผื่นผ้าอ้อมทุกครั้งที่คุณเปลี่ยนผ้าอ้อม เพื่อป้องกันก้นของเขาจากการเป็นผื่นแดง และระคายเคืองจากการถ่ายเหลว

#5 รับมือกับการอาเจียนให้ถูก
หากลูกน้อยของคุณอาเจียนออกมา ให้เขาดื่มของเหลวในปริมาณเล็กน้อยก่อน เริ่มต้นด้วยของเหลวเพียง 1 ช้อนชา (5 มล.) ทุก ๆ 10 ถึง 15 นาที แต่อย่าให้อาหารแข็งแก่ลูกน้อย และอย่าให้ยาลดท้องร่วงกับลูกน้อยของคุณเว้นแต่แพทย์จะบอกว่าใช้ได้

#6 อุ้มลูกน้อยไว้ใกล้ตัว
การกอดเป็นยาที่ดีที่จะบรรเทาอาการงอแงของลูกน้อยให้ลดลง


ดูแลเรื่องอาหารให้ถูกต้อง
หากลูกน้อยของคุณอยู่ในช่วงที่เริ่มกินอาหารแข็งก่อนที่จะเริ่มมีอาการท้องเสีย คุณเริ่มต้นด้วยอาหารที่ไม่สร้างความยุ่งยากให้กระเพาะอาหาร เช่น
- กล้วย
- แครกเกอร์
- ขนมปังปิ้ง
- พาสต้า
- เมล็ดธัญพืช

อย่าให้อาหารทารกที่ทำให้อาการท้องเสียแย่ลง เช่น
- น้ำผลไม้ เช่น น้ำแอปเปิ้ล
- นม
- อาหารทอด

เมื่อคุณดูแลลูกน้อยเสร็จแล้ว อย่าลืมที่จะล้างมือให้สะอาดเพื่อป้องกันไม่ให้คุณและคนอื่น ๆ ในบ้านเจ็บป่วย เพราะอาการท้องเสียที่เกิดจากเชื้อโรคสามารถแพร่กระจายได้ง่ายค่ะ

บทความแนะนำ >  ยาประสะน้ำนม หรือ  แม่ลูกอ่อน
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th

2
ไขมันทรานส์ อันตรายยังไง ทำไมต้องหลีกเลี่ยง


การรับประทานของมันของทอดทั่วไปก็ทำให้เราได้ไขมันในปริมาณสูงพอแล้ว แต่อาหารอร่อยและขนมเด็กหลายอย่างก็มี “ไขมันทรานส์” เป็นส่วนประกอบ จึงทำให้เราหลีกเลี่ยงมันยากขึ้นไปอีก เพราะมันสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพเราได้มากกว่าการเป็นโรคอ้วน เรามาดูกันค่ะว่าอาหารประเภทไหนที่เราควรหลีกเลี่ยงบ้าง

กรดไขมันทรานส์คืออะไร
ประมาณ 100 ปีก่อน โลกเราเกิดกระแสการเปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืชที่ไม่อิ่มตัวเพื่อสุขภาพ ด้วยความหวังว่าจะลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะไขมันอุดตันเส้นเลือด แต่เนื่องจากมันเป็นไขมันไม่อิ่มตัว เมื่อวางเอาไว้ในอุณหภูมิห้องก็จะทำปฏิกริยากับอากาศทำให้เกิดกลิ่นเหม็นหืน หากจะนำไปแช่ในตู้เย็นก็เป็นไข นักเคมีชาวเยอรมัน Wilhelm Normann จึงได้ทำการปรับโครงสร้างของไขมันเพื่อให้น้ำมันเป็นของแข็งในอุณหภูมิห้องหรือที่เรียกว่า กระบวนการไฮโดรจีเนชั่น (Hydrogenation) โดยการเติมไฮโดรเจน (Partially hydrogenated oil) และวิตามินอีลงไปเพื่อลดกลิ่นเหม็นหืนและทำให้มีอายุได้นานขึ้น จนได้ ‘เนยเทียม’ (Margarine) ขึ้นมา ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่าไขมันพืชดีต่อร่างกายมากกว่าเลยหันมาบริโภคกันมากขึ้น


จนในปี 1950 เริ่มมีกระแสในแวดวงวิชาการที่มองเห็นในอีกแง่มุมของไขมันทรานส์ ผู้คนเริ่มป่วยเพราะโรคจากไขมันเหล่านี้ เพราะไขมันทรานส์ที่สร้างขึ้นมาใหม่นั้นจัดเป็นไขมันเลว และเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วยังไปทำลายไขมันดีในร่างกายอีกด้วย

ไขมันทรานส์พบได้ใน มาการีน เนยขาว (ชอตเทนนิ่ง) ครีมเทียม หรือในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ เช่น คุกกี้ โดนัท เค้ก พาย ครัวซองท์ โรตี อาหารจานด่วน เช่น เฟรนช์ฟรายส์ แฮมเบอร์เกอร์ รวมทั้งอาหารทอดที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ และยังพบได้ในขนมกรุบกรอบ ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ เช่น ป๊อปคอร์นที่ใช้เนยเทียมคั่ว นอกจากไขมันทรานส์ที่มนุษย์ผลิตขึ้นมาเองแล้ว ไขมันทรานส์ก็ยังสามารถพบได้ธรรมชาติในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์และนม แต่มีในปริมาณที่เล็กน้อย

ทำไมผู้ผลิตถึงชอบใช้ไขมันทรานส์?
สาเหตุที่อุตสาหกรรมอาหารนิยมใช้ไขมันทรานส์กันมากเพราะว่าเป็นไขมันที่เกิดจากการแปรรูป จึงสามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่ต้องแช่เย็น ไม่ต้องกลัวว่าจะเหม็นหืนหรือเป็นไข เมื่อผลิตอาหารออกมาแล้ว ไขมันทรานส์ในนั้นยังช่วยยืดอายุอาหาร และทำให้เนื้อสัมผัสของอาหารไม่แห้ง โดยที่มีรสชาติใกล้เคียงกับไขมันที่มาจากสัตว์ อีกเหตุผลที่ไขมันทรานส์ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการประกอบอาหารก็คือ มันมีราคาถูกกว่าไขมันประเภทอื่น ๆ ถือเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตให้ผู้ประกอบการได้อีกทางหนึ่ง


ไขมันทรานส์ทำอะไรกับร่างกายของเรา?
ไขมันทรานส์สามารถเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลรวม (Total cholesterol) ไขมันไม่ดี หรือคอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (Low-density lipoprotein cholesterol; LDL-C) และไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) ในเลือด แต่กลับลดระดับไขมันดี หรือคอเลสเตอรอลชนิดเฮชดีแอล (High-density lipoprotein cholesterol; HDL-C) นอกจากนี้ยังเพิ่มน้ำหนักและไขมันส่วนเกิน ทำให้เกิดกระบวนการอักเสบในร่างกาย เบาหวาน ตับทำงานผิดปกติ นิ่วในถุงน้ำดี จอประสาทตาเสื่อม เพิ่มความเสี่ยงการเป็นอัลไซเมอร์

ปัจจุบันมีหลักฐานยืนยันว่าการบริโภคไขมันทรานส์เป็นประจำทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจสูง ซึ่งเป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ของคนไทยรองจากโรคมะเร็ง

จะรู้ได้อย่างไรว่าอาหารนี้มีไขมันทรานส์?
1. อ่านฉลากโภชนาการให้ถี่ถ้วนว่าอาหารชนิดนี้มีไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบหรือไม่
2. อ่านส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด หากมีส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ เช่น น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partial hydrogenation) หรือน้ำมันที่ผ่านการเติมไฮโดรเจน (Hydrogenated oil) ผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้นอาจมีไขมันทรานส์ได้ ถึงแม้ว่าบนฉลากโภชนาการจะระบุว่า Trans fat 0.0 g ก็ตาม เนื่องจากตามกฎหมายหากมีไขมันทรานส์ น้อยกว่า 0.5 g ผู้ผลิตสามารถระบุบนฉลากได้ว่าเป็น Trans fat 0.0 g
3. หากเป็นสินค้าที่ไม่มีฉลากโภชนาการติดมาบนบรรจุภัณฑ์ เช่น ขนมกรุบกรอบ ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ อย่างคุกกี้ โดนัท เค้ก พาย หรือเมนูอาหารจานด่วนทั้งหลาย ก็ให้รับประทานในปริมาณน้อยและไม่ควรรับประทานบ่อยครั้งนัก


หลายประเทศแบนไขมันทรานส์จริงเหรอ?
องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า ไม่ควรบริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์เกิน 1% ของพลังงานที่เราได้รับต่อวัน ตามปกติแล้วพลังงานเฉลี่ยที่ควรได้รับต่อวันจะอยู่ที่ 2,000 กิโลแคลอรี เท่ากับว่าเราไม่ควรทานอาหารที่มีไขมันทรานส์เกิน 2.2 กรัมต่อวัน หรือคิดเป็น 0.5 กรัม (500 มิลลิกรัม) ต่อหน่วยบริโภค

เดนมาร์ก นับเป็นประเทศที่บุกเบิกการห้ามใช้ไขมันทรานส์อย่างสิ้นเชิงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 ทำให้หลายประเทศเริ่มเจริญรอยตาม เริ่มต้นจาก 7 ประเทศในยุโรป และในปีพ.ศ. 2555 ประเทศสิงคโปร์ได้ออกกฎหมายจำกัดปริมาณไขมันทรานส์ในอาหารให้ไม่เกิน 2 กรัม ต่อประมาณไขมัน 100 กรัม และต้องระบุปริมาณไขมันทรานส์บนห่อบรรจุภัณฑ์ของอาหารประเภทไขมันด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยจึงออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 388 พ.ศ. 2561 ว่าด้วยการห้ามผลิต นำเข้า จำหน่ายอาหารที่มีส่วนผสมของไขมันทรานส์เด็ดขาด โดยมีผลใช้บังคับในวันที่ 9 ม.ค. 2562 และนับเป็นประเทศแรกในอาเซียน โดยผู้ที่จะนำเข้าผลิตภัณฑ์ตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค. เป็นต้นไป ต้องทำใบรับรองเพื่อยืนยันว่าผลิตภัณฑ์อาหารที่นำเข้าไม่มีการปนเปื้อนไขมันทรานส์

การออกประกาศนี้ก็เพื่อปิดช่องโหว่เรื่องการระบุปริมาณไขมันทรานส์บนฉลากผลิตภัณฑ์ เพราะแม้ขนมหรืออาหารนั้นจะมีไขมันทรานส์อยู่ 0.5 กรัม ต่อหน่วยบริโภค หากเรารับประทานเข้าไปมากก็ได้รับเข้าร่างกายเราเกินกำหนดอยู่ดี

ใช้น้ำมันอะไรทำอาหารดี?
ควรหันมาใช้น้ำมันที่มีความอิ่มตัวค่อนข้างสูง เพราะทำให้ไม่ต้องเติมสารสังเคราะห์ต่าง ๆ ลงไปมากนัก รวมทั้งควรลดการบริโภคอาหารทอด ขนมขบเคี้ยว ขนมที่มีองค์ประกอบของไขมันสูง และหันมาบริโภคอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการปรุงแต่งและแปรรูป หรืออาหารที่ผ่านกระบวนการน้อยที่สุด จะเป็นการดีต่อสุขภาพมากกว่า

นอกจากเราจะต้องระวังเรื่องอาหารการกินของเจ้าตัวน้อยแล้ว เราก็ต้องไม่ลืมที่จะออกกำลังกายให้เหมาะสมกับอายุควบคู่กันไปด้วย เพื่อที่เราจะได้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ และห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ

บทความแนะนำ > ทารกท้องเสีย หรือ ยาประสะน้ำนม
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th

3
ยาประสะน้ำนม กินแล้วเพิ่มน้ำนมได้จริงเหรอ


ยาประสะน้ำนม กินแล้วเพิ่มน้ำนมได้จริงเหรอ
สำหรับคุณแม่ที่วางแผนว่าจะเลี้ยงลูกด้วยนมแต่กลับประสบปัญหาน้ำนมน้อย หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาว่า “ยาประสะน้ำนม” เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สามารถเพิ่มน้ำนมได้ แต่ก็อาจจะยังรู้สึกไม่แน่ใจว่าสามารถซื้อหามารับประทานเองได้เลยหรือไม่ และยานี้จะมีอันตรายหรือเปล่า วันนี้ Motherhood จะนำเอาเรื่องราวของยาที่สามารถเพิ่มน้ำนมได้มาให้ดูกันค่ะ

ยาประสะน้ำนมคืออะไร?
ยาชนิดนี้เป็นยาสมุนไพรไทย มีสรรพคุณช่วยบำรุงน้ำนมสำหรับผู้ที่คลอดบุตรแล้วไม่มีน้ำนม ช่วยเพิ่มน้ำนมสำหรับสตรีหลังคลอดที่น้ำนมน้อย น้ำนมมาช้า เป็นยาที่ทำให้น้ำนมบริสุทธิ์ ทำให้น้ำนมดี ช่วยให้น้ำนมมีความเข้มข้นมากขึ้น คำว่า “ประสระ” แปลว่า ทำให้บริสุทธิ์  “ยาประสระน้ำนม” จึงหมายความว่าเป็นยาที่ทำให้น้ำนมบริสุทธิ์ ซึ่งยาตำรับนี้เป็นยาแผนโบราณที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักกรรมการอาหารและยาไว้หลายบริษัท แต่ในปัจจุบันนี้มีเหลือผลิตกันอยู่ไม่กี่บริษัทแล้ว หนึ่งในจำนวนนั้นคือ ยาประสระน้ำนม ตราพารา-แม่เลื่อน ของบริษัท พาราวินเซอร์ จำกัด และตราพระจันทร์โอสถ ส่วนประกอบในตัวยามีส่วนผสมมาจากสมุนไพรหลากหลายชนิด เช่น ดอกบุนนาค กะลำพักสลัดได ดีปลี อบเชยเทศ ขิง และน้ำผึ้ง


การรับประทานและข้อควรระวัง
รับประทานยานัเครั้งละ 5 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ทั้งเช้าและเย็น นอกจากนี้ยังควรงดน้ำเย็นในระหว่างใช้ยา และควรเลือกใช้ยาที่ผ่านการตรวจสอบจากกระทรวงสาธารณสุขและรับรองความปลอดภัยจากสำนักกรรมการอาหารและยา หากพบว่ามีผื่นแดงขึ้นตามตัวหรือริมฝีปากแห้งหลังจากที่รับประทานยา ก็ให้หยุดใช้ยานี้ทันที ถ้าหากมีอาการช่องคลอดอักเสบก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยากระตุ้นน้ำนมทุกชนิด

มียาหรืออาหารเสริมอื่นที่กระตุ้นน้ำนมหรือไม่?


1. ลูกซัด (Fenugreek) เป็นเครื่องเทศของอียิปต์ที่มีสรรพคุณช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนม นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมานานนับศตวรรษ คุณแม่ส่วนใหญ่ที่ได้ลองรับประทานจะเห็นผลการเพิ่มขึ้นของปริมาณน้ำนมหลังจากรับประทานตั้งแต่ 24-72 ชม. หรืออาจใช้เวลานานถึง 2 สัปดาห์สำหรับคุณแม่บางราย แต่ลูกซัดก็มีผลข้างเคียงคืออาจทำให้เกิดอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารในแม่ เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดอาการเดียวกันนี้กับลูกด้วยเช่นกัน หรือบางคนอาจจะมีปฏิกิริยาแพ้เหมือนการแพ้สมุนไพรบางชนิดก็ได้ สาเหตุเพราะลูกซัดช่วยทำให้ปริมาณน้ำนมเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ทารกได้รับน้ำนมส่วนหน้า (Foremilk) มากเกินไป จึงเกิดเกิดลมในท้องและถ่ายอุจจาระเหลว หากเป็นเช่นนี้คุณแม่ควรปั๊มน้ำนมส่วนหน้าทิ้งไปบ้างก่อน แล้วจึงเก็บน้ำนมส่วนหลังจากนั้นให้ลูก

2. ยาดอมเพอริโดน (Domperidone) ยาตัวนี้เป็นยารักษาอาการผิดปกติของทางเดินอาหาร มีผลข้างเคียงในการเพิ่มปริมาณฮอร์โมนโปรแลคติน ซึ่งช่วยกระตุ้นเซลล์ในเต้านมเพิ่มการสร้างน้ำนม เป็นที่รู้จักในไทยหลายยี่ห้อ เช่น Motilium-M Molax-M  Moridon-M รับประทานครั้งละ 3 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หรือทุก ๆ 8 ชั่วโมง ซึ่งยาจะดูดซึมได้ดีเมื่อท้องว่าง รับประทานเพียงแค่ 3-4 วันก็จะเริ่มเห็นผล แต่สำหรับผลสูงสุดจะต้องใช้เวลานาน 2-3 สัปดาห์ แต่ยาตัวนี้จะมีผลข้างเคียงคือ อาการปวดหัว ซึ่งมักจะหายไปเองภายใน 2-3 วัน รอบประจำเดือนเปลี่ยนแปลงซึ่งส่วนใหญ่มักพบว่าประจำเดือนขาดหายไปและปากแห้ง ส่วนทารกไม่น่าจะได้รับผลข้างเคียงจากยานี้ เพราะปริมาณยาที่เข้าสู่น้ำนมแม่มีน้อยมาก

หากไม่ต้องการใช้ตัวช่วย?
หากคุณแม่ไม่ต้องการที่จะรับประทานยาหรืออาหารเสริมอื่นใดเพื่อช่วยกระตุ้นน้ำนม ควรเริ่มกระตุ้นด้วยวิธีธรรมชาติ คือให้ทารกกินนมหลังการคลอดภายใน 2 ชั่วโมง และให้เขากินบ่อย ๆ แม้เขาจะไม่ดูดนมก็ตาม ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความคุ้นเคย การให้ลูกดูดนมเพื่อกระตุ้นในทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายอยู่ในภาวะสมดุลและสามารถสร้างน้ำนมได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะภายใน 2 วันหลังคลอด การหลั่งของน้ำนมจะเป็นระบบ หากเรากระตุ้นให้น้ำนมมีการถ่ายออก ร่างกายก็จะสร้างน้ำนมทดแทนอย่างสมดุลเอง

แต่ไม่ว่าจะเป็นยาตัวไหนหรืออาหารเสริมชนิดใดก็ตามที่มีสรรพคุณช่วยเพิ่มน้ำนมนั้น  ทุกขนานล้วนเป็นการให้ผลแบบชั่วครั้งคราวเท่านั้นในระยะแรกที่รับประทาน  แต่สำหรับผลระยะยาวแล้ว ทางคุณแม่จะต้องนำน้ำนมออกจากร่างกายโดยการให้ลูกดูดกระตุ้นหรือใช้เครื่องปั๊มนมค่ะ เพื่อให้ร่างกายผลิตน้ำนมออกมาได้สม่ำเสมอและเพียงพอ

บทความแนะนำ >  แม่ลูกอ่อน และ  หน้ากากอนามัย
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th

4
ไอบูโพรเฟน ระวังให้ดี ยานี้อย่าใช้ในช่วง Covid-19

ไอบูโพรเฟน ระวังให้ดี ยานี้อย่าใช้ในช่วง Covid-19
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีความสับสนว่าเราควรหรือไม่ควรที่จะใช้ “ไอบูโพรเฟน” เพื่อรักษาอาการของ Covid-19 โดยเฉพาะหลังจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เปลี่ยนจุดยืนต่อเรื่องนี้ หลังจากเริ่มแรกแนะนำให้ผู้คนหลีกเลี่ยงการใช้ไอบูโพรเฟนเพื่อรักษาอาการของโรคจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แต่ ณ วันที่ 19 มีนาคม WHO กลับไม่แนะนำให้หลีกเลี่ยงไอบูโพรเฟนเพื่อรักษาอาการ Covid-19 ท่าทีนี้สร้างความสับสนให้กับผู้คนในสังคมไม่น้อยทีเดียว ซึ่งวันนี้เราจะมาเจาะลึกในข้อเท็จจริงกันค่ะ

ต้นตอมาจากไหน?
ความสับสนเริ่มขึ้นหลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของฝรั่งเศส Oliver Véran ประกาศใน Twitter ว่าการใช้ยาต้านการอักเสบ เช่น ยา ibuprofen หรือ cortisone อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้การติดเชื้อ Covid-19 แย่ลง เขาแนะนำว่าควรใช้ยาพาราเซตามอลแทนเพื่อรักษาอาการไข้ที่เกี่ยวข้อง

ในขณะนี้ ระบบบริการสุขภาพ (NHS) ของอังกฤษก็ได้แนะนำให้ใช้ยาพาราเซตามอลสำหรับอาการ Covid-19 เช่นกัน แม้จะยอมรับว่าไม่มีหลักฐานที่หนาแน่นเพียงพอที่จะแสดงว่า Ibuprofen จะทำให้อาการแย่ลง ส่วนวารสารแพทย์รายสัปดาห์อย่าง British Medical Journal ยังระบุไว้ด้วยว่าควรหลีกเลี่ยง ibuprofen เมื่อต้องจัดการกับอาการ Covid-19


ไอบูโพรเฟนเป็นยาแก้อักเสบที่ไม่ใช้สเตียรอยด์ (NSAID) ซึ่งยาประเภทนี้มีประโยชน์หลัก 3 ประการ คือ ช่วยในการอักเสบ อาการปวด และมีไข้ ผู้คนอาจใช้มันสำหรับอาการอักเสบ เช่น โรคข้ออักเสบ หรืออาการปวดอื่น ๆ อย่างไรก็ตามยาพาราเซตามอลยังคงสามารถช่วยรักษาอาการปวดและลดไข้

ไข้ที่สูงกว่าอุณหภูมิของร่างกายปกติเป็นหนึ่งในสัญญาณของ Covid-19 พร้อมกับอาการไอและหายใจถี่ ร่างกายพัฒนาอาการไข้ขึ้นมาให้เป็นกลไกการป้องกันร่างกาย ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันจะสร้างห่วงโซ่โมเลกุล ที่คอยบอกสมองให้สร้างและเก็บความร้อนภายในร่างกายเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ

การที่มีไข้ระหว่างการติดเชื้อเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการป้องกันของร่างกาย การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิร่างกายอย่างรุนแรงอาจถึงแก่ชีวิตและควรได้รับการรักษาโดยด่วน การมีไข้นั้นทำให้เรารู้สึกไม่สบายตัว เพราะมันมักจะมาพร้อมกับอาการหนาวสั่น ปวดหัว คลื่นไส้ และปวดท้อง การกินยาต้านการอักเสบ เช่น ไอบูโพรเฟนหรือพาราเซตามอลจะทำให้อุณหภูมิลดลง โดยเข้าไปลดโมเลกุลของไข้บางส่วน อย่างไรก็ตามแพทย์ที่ทำการเปรียบเทียบตัวยาทั้งสองในปี 2556 แนะนำให้รับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อการติดเชื้อในทรวงอกปกติ เพราะพบว่ามีผู้ป่วยจำนวนไม่มากนักที่ป่วยด้วยไอบูโพรเฟน

ทำไมผู้คนถึงกังวล?
สาเหตุบางประการที่ทำให้เกิดความกังวลว่าการใช้ ibuprofen จะทำให้อาการ Covid-19 แย่ลง มาจากการศึกษาก่อนหน้านี้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนที่มีการติดเชื้อในทรวงอกอย่างรุนแรงอื่น ๆ เช่น ปอดอักเสบ มีอาการแย่ลง

แต่เป็นการยากที่จะบอกว่าการใช้ ibuprofen ในกรณีเหล่านี้ทำให้อาการแย่ลงและเจ็บป่วยนานขึ้น หรือถ้าเป็นเพราะใช้ ibuprofen หรือยาแก้อักเสบอื่น ๆ ช่วยจัดการความเจ็บปวด ซึ่งอาจซ่อนความรุนแรงของโรคที่มี ทำให้ผู้ป่วยรับการช่วยเหลือไม่ทันหรือการรักษาล่าช้าออกไป หรือมันอาจเกี่ยวข้องกับฤทธิ์ต้านการอักเสบของ ibuprofen ทฤษฎีหนึ่งคือยาต้านการอักเสบสามารถรบกวนการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันบางอย่างของร่างกาย แม้ว่าจะไม่ได้รับการพิสูจน์สำหรับ ibuprofen ก็ตาม


อย่างไรก็ตามงานศึกษาวิจัยภาษาฝรั่งเศส 2 ฉบับเตือนแพทย์และเภสัชกรไม่ให้ยากลุ่ม NSAID เมื่อพวกเขาเห็นสัญญาณของการติดเชื้อทรวงอกและไม่ควรให้ยากลุ่มนี้เมื่อเด็กติดเชื้อไวรัส ไม่มีข้อสรุปว่าทำไม ibuprofen อาจทำให้การติดเชื้อในทรวงอกแย่ลง แต่การศึกษาทั้ง 2 ชิ้นรายงานถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายยิ่งขึ้นในผู้ป่วยที่ใช้ยากลุ่ม NSAID ในการรักษาอาการของพวกเขา

จดหมายฉบับล่าสุดที่ส่งถึงวารสารการแพทย์รายสัปดาห์อย่าง The Lancet ชี้ให้เห็นว่าอันตรายของ ibuprofen ใน Covid-19 นั้น คือผลกระทบของมันที่มีต่อเอนไซม์ในร่างกายที่เรียกว่า Angiotensin-converting enzyme 2 (ACE2) แม้ว่าสิ่งนี้จะยังไม่ได้รับการพิสูจน์ มันก็ทำให้เกิดความกังวลมากขึ้นสำหรับผู้ป่วยที่ใช้สารยับยั้ง Angiotensin ในการเปลี่ยนเอนไซม์ (ACE) หรือสารยับยั้ง Angiotensin receptor blockers (ARBs) สำหรับอาการของหัวใจที่เขามีอยู่ ซึ่งองค์กรชั้นนำหลายแห่งได้เตือนผู้ป่วยว่าอย่าหยุดทานยาตามปกติ เนื่องจากไม่มีการยืนยันทฤษฎีใด ๆ มารองรับ

เนื่องจากไวรัสโคโรนาป็นไวรัสชนิดใหม่ ปัจจุบันจึงยังไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าการใช้ไอบูโพรเฟนจะเป็นอันตรายหรือทำให้อาการ Covid-19 แย่ลง การวิจัยในประเด็นนี้กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยการใช้ข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิดมากเกี่ยวกับ Covid-19 และการใช้ยาตัวนี้ วิธีที่จะระมัดระวังก็คือหลีกเลี่ยงการใช้ยาตัวนี้ในช่วง Covid-19 ถ้าเป็นไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครก็ตามที่คิดว่าตนเองมีเชื้ออยู่ สามารถพิจารณาใช้ยาพาราเซตามอลแทนเพื่อจัดการกับไข้ของพวกเขา เว้นเสียแต่ว่าแพทย์และเภสัชกรจะมีคำแนะนำเป็นอย่างอื่น

ในระหว่างนี้คณะกรรมการยาของอังกฤษและสถาบันสุขภาพและการดูแลสุขภาพแห่งชาติ (NICE) ได้ถูกขอให้ตรวจสอบหลักฐานทั้งหมดเพื่อทำความเข้าใจผลกระทบของไอบูโพรเฟนต่ออาการ Covid-19 โดยปกติแล้ว เมื่อคนเราจะได้รับการสั่งยาต้านการอักเสบ ก็จะต้องปรึกษาแพทย์และเภสัชกรเสมอ และไม่ควรหยุดยาเองโดยพละการ

อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่น่าสังเกตว่าไอบูโพรเฟนและยากลุ่ม NSAIDs สามารถก่อให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและอาหารไม่ย่อย นอกจากนี้ ยังอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ มีปัญหาไตและตับ และโรคหอบหืด รวมถึงผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี และผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มาก ไม่ควรใช้ยาเหล่านี้กับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง และกับผู้หญิงที่พยายามจะตั้งครรภ์หรือตั้งครรภ์อยู่แล้ว

บทความน่าสนใจ >>  การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คือสิ่งสำคัญที่เราต้องใส่ใจ หรือ  หน้ากากอนามัย ป้องกันไวรัสโคโรนาได้จริงมั้ย?
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th

5
หน้ากากอนามัย ป้องกันไวรัสโคโรนาได้จริงมั้ย?

การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ซึ่งมีต้นกำเนิดในเมืองหวู่ฮั่นของจีนและแพร่กระจายไปทั่วเอเชียและทั่วโลก ทำให้ผู้คนทั่วโลกตัดสินใจซื้อ “หน้ากากอนามัย” มาสวมใส่เพื่อป้องกันการติดเชื้อ แต่เมื่อไม่นานมานี้เรากลับได้ยินหลายกระแสที่พูดกันว่าคนที่ไม่ได้ป่วยหรืออยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยก็ได้ แต่ถึงกระนั้นผู้คนก็ยังหาซื้อมาตุนไว้เพื่อความอุ่นใจอยู่ดี สรุปแล้วมันสามารถช่วยป้องกันไวรัสโคโรนาได้จริงหรือไม่ เรามาค้นหาคำตอบไปด้วยกันค่ะ

ผู้ค้าปลีกในหลายประเทศและในอินเทอร์เน็ตไม่มีสต็อกหน้ากากอนามัยเหลือเพียงพอจำหน่าย เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยที่ยืนยันแล้วว่ามี เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตอนนี้มีจำนวนมากเกิน 9,700 คนทั่วโลก ผู้คนกว่า 200 คนเสียชีวิตจากไวรัสในประเทศจีนซึ่งส่วนใหญ่ของการแพร่ระบาดที่ถูกตรวจพบครั้งนี้ องค์การอนามัยโลกประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพระดับโลกในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเนื่องจากการระบาดยังคงแพร่กระจาย เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมาอังกฤษและรัสเซียต่างก็ยืนยันการติดเชื้อไวรัสครั้งแรก


เจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นในหวู่ฮั่นกำหนดให้ผู้คนสวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกไปในสถานที่สาธารณะเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพมีความเห็นว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจมีประสิทธิภาพในเมืองที่บุคคลมักจะมีโอกาสสัมผัสกับคนที่ติดเชื้อมากกว่าในส่วนอื่น ๆ ของโลก แต่ในประเทศอื่น ๆ ซึ่งมีเพียงแค่ไม่กี่รายที่ตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนา การสวมหน้ากากอนามัยอาจจะไม่มีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญกล่าว ตามที่บุคลากรด้านสาธารณาสุขแนะนำ ส่วนใหญ่เป็นเพราะยังไม่มีการแพร่เชื้อจากเชื้อไวรัสตัวใหม่ต่อคนสู่คนในหลายประเทศทำให้หน้ากากอนามัยยังไม่จำเป็น

ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่เราควรรู้เกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัยซึ่งเกี่ยวข้องกับการป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของอเมริกาพูดว่าอย่างไรเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัย?
ปัจจุบันศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ไม่ได้แนะนำให้ผู้คนในประเทศสหรัฐอเมริกาสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ดร. Nancy Messonnier ผู้อำนวยการศูนย์ฉีดวัคซีนปและโรคระบบทางเดินหายใจแห่งชาติกล่าวกับผู้สื่อข่าวในระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า มาตรการป้องกันที่ดีที่สุด ได้แก่ การล้างมือและปกปิดการไอ

CDC ได้ออกแนวทางเกี่ยวกับหน้ากากอนามัยสองชนิดที่แตกต่างกันคือ หน้ากากผ่าตัดและเครื่องช่วยหายใจสำหรับฝุ่น N95 ซึ่งบุคลกรด้านการดูแลสุขภาพและผู้ที่ป่วยอยู่แล้วมักสวมใส่กัน

หน้ากากผ่าตัดทั่วไปมักจะพบที่ร้านขายยา (ซึ่งขายหมดแล้วใน Amazon และร้านค้าออนไลน์อื่น ๆ ตั้งแต่วันศุกร์) ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาเพื่อปกป้องผู้สวมใส่จากสารคัดหลั่งขนาดใหญ่ ตาม CDC ได้กำหนดแนวทางไว้


การสวมหน้ากากอนามัยไม่ได้ป้องกันไม่ให้บุคคลสูดดมอนุภาคขนาดเล็กในอากาศ หน้ากากอนามัยเหล่านี้ไม่ได้รับการพิจารณาจาก CDC ว่าเป็นสิ่งที่ใช้ป้องกันได้ หน้ากากที่ใช้ในการผ่าตัดนั้นจะหลวมและเมื่อผู้สวมใส่หายใจเข้าก็มีโอกาสที่อนุภาคจะรั่วไหลเข้าหรือออกจากด้านข้าง

เครื่องช่วยหายใจ N95 ได้รับการแนะนำสำหรับบุคลากรด้านการดูแลสุขภาพโดย CDC ในกรณีที่พวกเขาต้องรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หน้ากาก N95 ซึ่งต้องผ่านการทดสอบและรับรองจาก CDC นั้นมีขนาดกะทัดรัดและกรองอนุภาคในอากาศได้อย่างน้อย 95%

ถึงแม้ว่าเครื่องช่วยหายใจ N95 จะถูกขายให้กับประชาชนทั่วไป แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและโรคติดเชื้อก็ยังมีความเห็นว่าคนที่ไม่ใช่บุคลากรด้านการดูแลสุขภาพไม่มีความจำเป็นต้องสวมใส่ ทางด้านดร. Peter Rabinowitz ผู้อำนวยการศูนย์เตรียมความพร้อมสำหรับการระบาดของโรคระบาดและสุขภาพทั่วโลก แห่ง มหาวิทยาลัยวอชิงตันกล่าวว่า หน้ากากอนามัยควรได้รับการทดสอบอย่างเหมาะสมเพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นผู้ที่ไม่ผ่านการฝึกอบรมอาจจะไม่สามารถสวมใส่ได้อย่างมีประสิทธิภาพความปลอดภัยที่ เขาเสริมว่าหน้ากากอนามัยสำหรับ N95 นั้นยากสำหรับคนที่จะสวมใส่ได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นระยะเวลานาน “หน้ากากมักจะลื่นและเปลี่ยนตำแหน่ง มันจึงง่ายสำหรับการรั่วไหลของอากาศที่จะเกิดขึ้นแม้ว่าพวกเขาจะสวมใส่มันอย่างถูกต้อง” เขากล่าว

หน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อโรคได้หรือไม่?
การศึกษาประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัยในการป้องกันโรคยังสรุปไม่ได้ ส่วนใหญ่เพราะการศึกษามีขึ้นเฉพาะกับบุคลากรด้านการดูแลสุขภาพในสถานที่ทำงานของพวกเขา โดยทั่วไปแล้วการศึกษาพบว่าถ้าบุคลากรเหล่านี้ใช้หน้ากากอนามัย ความเสี่ยงของการแพร่กระจายโรคในขณะที่พวกเขาจัดการกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อจะลดลงตามที่ผู้เชี่ยวชาญว่าไว้

สำหรับคนทั่วไปผลกระทบของการใช้หน้ากากอนามัยไม่เป็นที่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าคนที่ป่วยและติดเชื้อแล้วที่ไม่สามารถออกไปข้างนอกโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่จำกัดหรือห้องรอโรงพยาบาลควรสวมหน้ากากเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของเชื้อโรค

“มันไม่สามารถป้องกันความผิดพลาดได้ แต่มันจะป้องกันเราจากอนุภาคที่เกิดขึ้นจากการไอติดจนติดเชื้อไวรัสระบบทางเดินหายใจ” ดร. Marybeth Sexton ผู้ช่วยศาสตราจารย์ในแผนกโรคติดเชื้อที่โรงเรียนแพทย์แห่ง Emory University กล่าว

ผู้ที่ไม่ป่วยไม่ควรพึ่งพาหน้ากากเพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ หน้ากากผ่าตัดมีการป้องกันที่จำกัดต่อการเจ็บป่วย ในขณะที่หน้ากากอนามัยมีประโยชน์ในการหยุดการแพร่กระจายของเชื้อโรคในบางสถานการณ์ เช่น เมื่อผู้คนอยู่ในระยะใกล้บนรถไฟหรืออยู่ในห้องรอตรวจ แต่พวกมันไม่น่าจะยับยั้งการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

“คุณมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ผ่านการสัมผัสอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับการเดินไปข้างนอก” Saskia Popescu นักระบาดวิทยาด้านการป้องกันการติดเชื้ออาวุโสกล่าว


มาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพเพื่อหลีกเลี่ยงไวรัสโคโรนาคือ?
คำแนะนำจาก CDC และบุคลากรด้านสุขภาพเกี่ยวกับมาตรการป้องกันไวรัสโคโรนาหรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นั้นค่อนข้างตรงไปตรงมาและเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันขั้นพื้นฐาน เพื่อช่วยหยุดการแพร่กระจายของการติดเชื้อทางเดินหายใจ ขอแนะนำให้ล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าของตนเอง อยู่ให้ห่างจากผู้ป่วย และอยู่ภายในบ้านถ้าหากป่วย

ในช่วงที่หน้ากากอนามัยกำลังขาดตลาดเช่นนี้ มาตรการในการดูแลตัวเองก็เป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยป้องกันเราจากการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายนะคะ ต้องให้แน่ใจว่าเรารักษาความสะอาดเป็นอย่างดี และไม่พาตัวเองไปเสี่ยงในพื้นที่ที่เรามีโอกาสจะรับเชื้อค่ะ

อ่านบทความแนะนำ >>  หัดเยอรมัน โรคที่ติดต่อจากแม่สู่ลูกได้ หรือ  นมแพะ ดีสำหรับเด็กหรือไม่?
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th

6
เลือกซื้อขวดนมสำหรับเด็กให้เหมาะกับความต้องการ


“ขวดนม” เลือกอย่างไรถึงจะดี พ่อแม่ควรรู้
ของใช้สำหรับทารกที่สำคัญและขาดไม่ได้ก็คือ “ขวดนม” ซึ่งในท้องตลาดก็มีจำหน่ายกันมากมายหลายรูปแบบ และราคาก็มีตั้งแต่ไม่กี่สิบบาทไปจนถึงหลายร้อยบาท แบบราคาถูกและราคาแพงแตกต่างกันตรงไหนบ้าง และยังมีเรื่องของพลาสติกแบบ BPA Free อีกด้วย ที่หลายคนคิดว่ามันคือสิ่งจำเป็น แล้วควรจะซื้อติดบ้านไว้มากน้อยแค่ไหน และยังมีเรื่องของขนาดความจุของขวดนมอีก คุณพ่อคุณแม่อาจจะสับสนได้ว่แบบไหนจะดีที่สุดกันแน่ วันนี้เรามีคำตอบมาให้ค่ะ

การเลือกขวดนมพลาสติกต้องดูที่วัดสุที่ใช้ผลิต

การเลือกขวดนมพลาสติก
ขวดนมพลาสติกเป็นขวดนมที่หาซื้อได้ง่ายและเป็นที่นิยมมาก เนื่องจากมีน้ำหนักเบา ตกไม่แตก หาซื้อได้ง่าย และมีให้เลือกหลายราคาตามงบ สีของขวดมีหลายแบบทั้งแบบเนื้อใส เนื้อสีขาวขุ่น และสีชา ซึ่งขวดนมที่ผลิตจากพลาสติกต่างชนิดกันจะมีสี การทนทานต่อความร้อน และอายุการใช้งานที่แตกต่างกันตามไปด้วย
    - ขวดนมแบบ PP
ขวดนมประเภทนี้ผลิตจากวัสดุ Polypropylene ทำให้เนื้อพลาสติกจะมีสีกึ่งโปร่งใสหรือสีขาวขุ่น สามารถทนอุณหภูมิได้ในช่วง -20 – 110 ˚C ขวดนมชนิดนี้มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 6 เดือน และอาจเหลือเพียง 3 เดือน หากมีการนำไปนึ่งหรือต้มบ่อยเกินไป
    - ขวดนมแบบ PES
ขวดนมประเภทนี้ผลิตจากวัสดุ Polyethersulfone เนื้อพลาสติกของขวดนมประเภทนี้จะออกเป็นสีน้ำผึ้งหรือสีชา สามารถทนอุณหภูมิได้ -50 – 180 ˚C โดยมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 6 เดือน ถึง 1 ปี ขึ้นกับการดูแลรักษาและความถี่ในการต้มหรือการนึ่งฆ่าเชื้อ
    - ขวดนมแบบ PPSU
ขวดนมประเภทนี้ผลิตจากวัสดุ Polyphenylsulfone เนื้อพลาสติกชนิดนี้มีสีน้ำตาลอ่อน สามารถทนอุณหภูมิได้ -50 – 180 ˚C อายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 8 เดือน ถึง 2 ปี ขึ้นกับการดูแลรักษาและความถี่ในการต้มหรือการนึ่งฆ่าเชื้อ
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นพลาสติกชนิดเดียวกันแต่คุณภาพคนละเกรด ก็ทำให้ขวดนมมีความแตกต่างกันอีกด้วย เช่น ขวด PP ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงไม่ผสมเศษ มักจะมีเนื้อขวดที่ใสกว่า

ขวดนมสมัยใหม่ผลิตจากพลาสติกที่ไม่มี BPA ผสมอยู่แล้ว

BPA Free คืออะไร?
BPA มาจากคำว่า Bisphenol A ซึ่งเป็นสารเคมีอุตสาหกรรมที่นำมาใช้ในการผลิตพลาสติกใส สำหรับใช้เป็นภาชนะบรรจุอาหาร หรือขวดน้ำ ซึ่งขวดนมของเด็กก็เป็นหนึ่งในนั้น

คุณพ่อคุณแม่อาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าหากจะเลือกซื้อขวดนมหรือภาชนะสำหรับลูกให้เลือกที่เป็น BPA Free เพราะเวลาที่เราล้างทำความสะอาดขวดนมบ่อยๆ ก็จะเกิดรอยขีดข่วน เกิดคราบขุ่น รวมถึงเมื่อขวดนมสัมผัสความร้อนบ่อย สาร BPA ที่อยู่ในขวดนมพลาสติกอาจปนเปื้อนลงไปในน้ำนม และหากสะสมเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อสมอง เซลล์ประสาท พฤติกรรม การเรียนรู้ และส่งผลต่อความผิดปกติทางพันธุกรรมของเซลล์ในร่างกายได้

ขวดนมที่มีสาร BPA มักเป็นขวดนมรุ่นเก่า ที่ผลิตจากวัสดุ Polycarnonate (PC) ซึ่งมีความแข็งใสและทนทาน แต่ในปัจจุบันขวดนมรุ่นใหม่ส่วนมากผลิตจาก Polypropylene (PP) Polyethersulfone (PES) Polyphenylsulfone (PPSU) ซึ่งไม่มีสาร BPA ในกระบวนการผลิตอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมองหาคำว่า BPA Free เป็นพิเศษ แต่ควรเลือกจากชนิดของพลาสติกที่ใช้ผลิตขวดนม ซึ่งจะระบุไว้ที่ข้างกล่องหรือก้นขวดอยู่แล้ว

การเลือกขวดนมแบบขวดแก้ว
ขวดนมแบบที่ทำจากแก้วนั้นมีข้อดีคือ ลดความเสี่ยงจากสาร BPA ในพลาสติกเมื่อถูกความร้อน และเกิดรอยขีดข่วนยากกว่าขวดนมพลาสติก ขวดนมแก้วมีอายุการใช้งานไม่จำกัด สามารถใช้ได้เรื่อยๆจนกว่าขวดนมจะแตก หรือมีรอยขีดข่วนในเนื้อขวดมาก แต่ก็มีข้อเสียคือ มีน้ำหนักมากกว่าขวดนมแบบพลาสติก และตกแตกได้ง่าย อีกทั้งยังมีราคาที่แพงกว่า และมีไม่กี่ยี่ห้อให้เลือกซื้อ

มีขวดนมที่ลดอาการโคลิคได้จริงหรือ?
อาการงอแงรุนแรงในช่วง 3 เดือนแรกของทารก โดยจะร้องต่อเนื่องกันนานเป็นชั่วโมง และมักจะร้องในเวลาเดิมๆ เมื่อพ่อแม่มาอุ้มก็ไม่หยุดร้อง หรือเมื่อให้ดูดนมก็ไม่ยอมกินนม เราเรียกอาการนี้ว่า โคลิค คุณพ่อคุณแม่อาจเลือกใช้ขวดนมลดอาการโคลิค ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้ลมเข้าท้องทารกขณะดูดนมน้อยลง อย่างไรก็ตาม ไม่มีขวดนมแบบไหนที่สามารถป้องกันอาการโคลิคได้ 100% มีแต่ช่วยลดอาการโคลิคให้น้อยลงเท่านั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการไล่ลมออกจากท้องลูกด้วยการจับให้เขาเรอเป็นระยะระหว่างกินนม

ขวดนมแบบ anti-colic เป็นที่นิยมกันมากขึ้น

ซื้อขวดนมขนาดเท่าไหร่ดี?
สำหรับทารกแรกเกิดกระเพาะอาหารของเขาจะยังเล็กมาก จึงไม่สามารถกินนมต่อครั้งได้เยอะมากนัก ปกติจะกินได้ประมาณ 1.5 – 2 ออนซ์ แต่ทารกก็จะกินนม 1-2 ออนซ์แค่ในเดือนแรกเท่านั้น หรืออาจจะไม่ถึงเดือนในบางคน จึงไม่จำเป็นต้องซื้อขวดนมขนาด 2 ออนซ์ไว้เยอะมากนัก ในช่วงสามเดือนแรกขนาดของขวดนมที่เหมาะสมที่สุดควรจะเป็น ขวดนมขนาด 4-5 ออนซ์ ซึ่งตามปกติจะมาพร้อมกับจุกนมสำหรับเด็กแรกเกิด ส่วนขวดนมขนาด 9 ออนซ์ จะเหมาะสำหรับเด็กที่โตขึ้นมาหน่อย ประมาณ 3 เดือน หรือมากกว่านั้น

ควรซื้อขวดนมกี่ขวด?
การตัดสินใจว่าควรซื้อขวดนมไว้ใช้กี่ขวดมีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง อันดับแรกคือต้องดูว่าเราจะเลี้ยงด้วยนมแม่หรือเปล่า คุณแม่เกือบทุกคนก็ตั้งใจจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อยู่แล้ว แต่อาจจะไม่ได้เป็นคุณแม่เต็มเวลาที่จะอยู่กับบ้าน ให้ลูกเข้าเต้าได้ทุกครั้ง เลยทำให้การกะจำนวนขวดนมที่จะต้องใช้นั้นแปรผันไปตามความจำเป็นของแต่ละบ้าน เริ่มที่ 3-4 ขวดโดยประมาณ หากคุณแม่คนไหนเลี้ยงลูกอยู่บ้านได้เต็มเวลา ก็แทบจะไม่ต้องใช้ขวดนมเลย จนกว่าจะถึงวัยที่เริ่มให้นมผงเสริม เพราะสามารถนำลูกเข้าเต้าได้ตลลอด แต่ก็ควรมีขวดนมไว้บ้างอย่างน้อย 2-3 ขวด ในคุณแม่รายที่ไม่มีน้ำนมเลยหรือมีน้อยมาก หรือลูกน้อยมีปัญหาไม่ยอมเข้าเต้า ก็ต้องพึ่งพาการใช้ขวดนมทั้งวันทั้งคืน แบบนี้ก็จำเป็นต้องมีขวดเยอะหน่อย ประมาณ 4-6 ขวด

อ่านเรื่องราวน่ารู้สำหรับคุณแม่และลูกน้อยได้ที่  Story MotherHood อาทิ ลูกแฝดใคร ๆ ก็อยากมี, วิธีเลือกซื้อขวดนม, ตั้งครรภ์กินทุเรียนได้ไหม และ ติดตามข่าวไวรัส Covid-19 เป็นต้น

7

“เด็กฟันผุ” อีกหนึ่งปัญหาที่พ่อแม่กังวลใจ

“เด็กฟันผุ” อีกหนึ่งปัญหาที่พ่อแม่กังวลใจ
เด็กฟันผุ ได้ยังไง? ทั้งๆที่เราก็ดูแลเขาดีแล้ว ให้เขาแปรงฟันก่อนนอนทุกคืน เวลากินอะไรก็ให้บ้วนปากหลังกินตลอด แต่ฟันก็ยังผุอีก ….. คุณพ่อคุณแม่อาจจะเคยถามตัวเองแบบนี้ใช่ไหมคะ และบางครั้งก็คงโทษตัวเองว่าเราดูแลลูกรักได้ไม่เพียงพอตรงไหน ทำไมลูกเราถึงกลายเป็นเด็กฟันผุได้ ถ้าคุณพ่อคุณแม่อยากรู้วิธีจัดการกับปัญหาฟันผุ Motherhood มีสาระดีๆเกี่ยวกับปัญหาฟันผุในเด็กมานำเสนอค่ะ


ปัญหาฟันผุในเด็ก
อาการฟันผุโดยทั่วไปนั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ภายในช่องปากรวมตัวกับเศษอาหารและน้ำลายจนสะสมกันเป็นคราบ ปัญหาฟันผุในเด็กจะเริ่มพบได้ตั้งแต่เด็กที่อายุไม่ถึง 1 ปี หรือตั้งแต่ที่เริ่มมีฟันน้ำนมขึ้นซี่แรกเลยทีเดียว สาเหตุหลักที่ฟันผุนั้นเกิดจากครอบครัว พ่อแม่บางคนปล่อยให้ลูกกินของหวานหรือขนมขบเคี้ยวมากเกินไป แต่สาเหตุที่ใหญ่กว่านั้นเป็นเพราะปล่อยให้ลูกหลับไปทั้งที่ขวดนมยังคาปาก เพราะในนม ไม่ว่าจะเป็นนมแม่เองหรือนมผงจะมีน้ำตาลอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งมันสามาระเข้าไปทำลายสารเคลือบฟันน้ำนมของลูก ทำให้ฟันผุนั่นเอง

เมื่อลูกรักฟันผุ เขาจะมีอาการเจ็บปวดตามมา เด็กบางรายเจ็บปวดจนไม่รู้สึกอยากอาหาร ก็เป็นปัญหาต่อไปอีก หากฟันผุมีอาการหนักมากก็จะต้องถอนออก และหลังถอนออกไปแล้วจะทำให้ฟันแท้ขึ้นมาช้า เด็กบางคนอาจจะเจอปัญหาฟันเกตามมา ถ้าคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกฟันผุจะต้องรีบพาไปรักษา มิฉะนั้นแล้วฟันจะผุลุกลามไปทั้งปาก
เด็กฟันผุ


Q: เลือกแปรงสีฟันยี่ห้อไหนให้ลูกดี
A: ควรเลือกแปรงที่มีขนนุ่ม ขนแปรงมีหน้าตัดตรง หัวแปรงขนาดเล็กพอดีกับปากลูก ด้ามแปรงจับถนัดมือ
Q: เลือกใช้ยาสีฟันยี่ห้อไหนดี
A: ใช้ยาสีฟันสำหรับเด็กยี่ห้อไหนก็ได้ที่ผสมฟลูออไรด์อย่างต่ำ 500 ppm ต้องสังเกตฉลากให้ดีว่ามีบอกปริมาณความเข้มข้นของฟลูออไรด์ไว้หรือไม่
Q: ให้ลูกเริ่มใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่
A: สามารถใช้ได้ตั้งแต่ฟันขึ้นซี่แรกเลย หากลูกยังบ้วนปากไม่เป็นก็ไม่ต้องกังวล เพราะใช้การเช็ดฟองออกทีหลังได้ สำหรับเด็กที่ฟันซี่แรกขึ้นแล้วถึง 2 ปี ให้ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์แตะบางๆที่แปรง ใช้ปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว สำหรับเด็ก 2-5 ปี ขนาดเท่าหน้าตัดแปรงสำหรับเด็กอายุ 5 ปีขึ้นไป


Q: ให้ลูกกินฟลูออไรด์เม็ดเสริมดีไหม
A: การจะให้ลูกกินฟลูออไรด์เสริมควรต้องไปพบทันตแพทย์ก่อน จากนั้นแพทย์ถึงจะซักประวัติและคำนวณปริมาณฟลูออไรด์ที่เหมาะสมให้ และถึงแม้ได้รับฟลูออไรด์เม็ดมากินแล้ว ก็ยังต้องใช้ยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์อยู่เหมือนเดิมทุกครั้งที่แปรงฟัน
Q: อายุเท่าไหร่ถึงควรพาลูกไปหาหมอฟัน
A: สามารถพาลูกไปพบทันตแพทย์ได้ตั้งแต่ที่พบฟันซี่แรก ถ้าอายุเกิน 1 ปีแล้วยังไม่เคยพบทันตแพทย์มาก่อน แนะนำว่าให้รีบไปพบเลย
Q: ลูกไม่ยอมแปรงฟัน ต้องให้บังคับ เป็นเพราะลูกกลัวการแปรงฟันหรือเปล่า
A: ตามปกติเด็กในวัย 1-3 ปี เป็นเด็กที่แปรงฟันยากอยู่แล้ว ถ้าคุณพ่อคุณแม่แปรงฟันเขาอย่างดี ไม่ทำให้เขาเจ็บตอนแปรง ทำให้การแปรงฟันเป็นเรื่องสนุก เขาจะค่อยๆเรียนรู้ ไม่กลัวการแปรงฟันไปในที่สุด


Q: ทำไมลูกเลือดออกตอนแปรงฟัน เพราะแปรงแรงไปหรือเปล่า จะแก้ไขอย่างไร
A: อาการเลือดออกขณะแปรงฟันบ่งบอกถึงเหงืออักเสบ พ่อแม่หลายคนพอเห็นลูกมีเลือดออกก็จะไม่กล้าแปรงฟันต่อเพราะกลัวว่าลูกเจ็บ แต่ยิ่งปล่อยไว้เหงือกก็จะอักเสบยิ่งขึ้น บางทีตอนที่มีฟันขึ้นซี่ใหม่ก็อาจจะมีเลือดออกได้นิดหน่อย อย่าเพิ่งหยุดแปรงเพราะกลัวลูกเจ็บ ถ้าไม่ได้แปรงแรงจนเกินไปหรืออักสบรุนแรงมากๆเด็กจะไม่เจ็บ ยังไงเสียแปรงฟันให้ดีเข้าไว้ เหงือกจะไม่อักเสบและลูกจะไม่เจ็บแน่นอน
Q: ฟันแท้ขึ้นมาซ้อนฟันน้ำนมลูก ควรทำอย่างไร
A: ฟันแท้ที่งอกซ้อนฟันน้ำนมเรามักพบได้ที่ฟันหน้าคู่ล่าง ถ้าลูกยังสามารถเคี้ยวข้าวได้ตามปกติ แปรงฟันได้ตามปกติ ไม่มีอาการเจ็บปวด คุณพ่อคุณแม่สามารถลองโยกฟันน้ำนมเบาๆให้หลุดเอง ถ้าฟันแท้ขึ้นมาเกินครึ่งซี่แล้วฟันน้ำนมด้านหน้ายังไม่หลุด สามารถไปพบทันตแพทย์ให้ถอนฟันน้ำนมออกได้ ถ้าพบที่ฟันบนควรไปให้ทันตแพทย์ถอนทันทีเลย

วิธีป้องกันฟันผุ
1. ให้ลูกเลิกกินนมขวดภายในอายุ 12-14 เดือน
2. แปรงฟันให้ลูกตั้งแต่ฟันซี่แรกขึ้น หรือใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดฟัน
3. ควรพาลูกไปพบทันตแพทย์เมื่อมีฟันซี่แรกขึ้น หรือไม่เกินลูกอายุ 1 ปี
4. หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้ โซดา เพราะทำให้ฟันถูกกัดกร่อนได้ น้ำผลไม้ดื่มได้ในปริมาณไม่เกิน 4 ออนซ์ต่อวัน
5. ควรจัดเวลากินอาหารที่แน่นอนประจำวัน
6. ระหว่างมื้อหารให้ดื่มแต่น้ำเท่านั้น ไม่กินเล่นจุบจิบ

ถ้าไม่อยากให้ลูกกลายเป็นเด็กฟันผุเกือบหมดปาก คุณพ่อคุณแม่ต้องหมั่นเอาใจใส่สภาพฟันของลูกน้อยอยู่สม่ำเสมอ พยามยามทำความสะอาด และจัดการกับต้นตอของปัญหาฟันผุให้ได้ โดยเฉพาะการดื่มนมจากขวดแล้วไม่ได้แปรงฟัน หรือแปรงฟันอย่างไม่ถูกวิธี สิ่งนี้คือตัวการหลักในการทำให้ลูกเป็นเด็กฟันผุที่พ่อแม่ต้องจัดการกับต้นตอของปัญหาให้อยู่หมัด

บทความแนะนำ >>  พี่เลี้ยงเด็ก หรือ ตรวจครรภ์
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสำหรับเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลย >> คลิกที่นี่

8

ตรวจครรภ์ จะไม่ใช่เรื่องชวนสับสนอีกต่อไป

สำหรับคู่รักที่วางแผนจะมีลูก หากพบว่าประจำเดือนขาดหรือมีอาการทางร่างกายอื่น ๆ ก็คงจะนึกถึงการ “ตรวจครรภ์” เป็นอันดับแรกใช่ไหมคะ แต่ก็อาจจะยังมีผู้หญิงหลายคนที่สับสนว่าควร ตรวจครรภ์ตอนไหนจึงจะได้ผลที่แม่นยำ หรือสงสัยในการใช้งานที่ตรวจครรภ์ ว่าใช้แบบไหนจะจึงถูกวิธี รวมทั้งการอ่านค่า การดูผลตรวจต่าง ๆ ด้วย วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเรื่องนี้ไปด้วยกันค่ะ

เมื่อไหร่ที่ควรตรวจครรภ์
หากคุณเริ่มสงสัยว่าตนเองอาจจะตั้งครรภ์ สามารถสังเกตอาการเบื้องต้นก่อนได้โดยยังไม่ต้องไปพบแพทย์ อาการที่สามารถพบได้มีดังนี้
- ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือประจำเดือนขาด
- อ่อนเพลียผิดปกติ
- เต้านมขยายและรู้สึกเจ็บ

เมื่อสังเกตแล้วว่ามีอาการเข้าข่ายตามนี้ โดยเฉพาะประจำเดือนไม่มาตามปกติ สิ่งต่อไปที่ควรทำคือซื้อที่ตรวจครรภ์มาทำการตรวจด้วยตัวเอง สำหรับการตรวจด้วยที่ตรวจครรภ์ โดยปกติแล้วควรรอให้เลยวันที่รอบเดือนควรจะมาเสียก่อนอย่างน้อยประมาณ 7 วัน เพราะบางครั้งความเครียด ความวิตกกังวลก็อาจทำให้ประจำเดือนมาช้ากว่าปกติได้ ถ้ารอจนครบ 7 วัน เมื่อตรวจแล้วพบว่าได้ผลบวกแสดงว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ แต่ถ้าให้ผลลบก็ยังไม่แน่ใจว่าจะไม่ตั้งครรภ์ หากประจำเดือนยังไม่มาอีกภายใน 7 วันหลังจากการตรวจครั้งแรก ก็ให้ตรวจซ้ำอีกครั้ง ถ้ายังให้ผลลบอยู่คุณก็น่าจะไม่ตั้งครรภ์ แต่ก็ยังไม่แน่นอนอยู่ดีหากประจำเดือนของคุณยังไม่มา หลังจากตรวจรอบ 2 ถ้าเลย 7 วันไปแล้วและยังคงกังวลกับผลที่ได้ก็ควรไปพบแพทย์


ที่ตรวจครรภ์ทำงานอย่างไร
รูปแบบการทำงานของที่ตรวจครรภ์คือการตรวจปัสสาวะเพื่อตรวจหาฮอร์โมนตั้งครรภ์ เช่นเดียวกับการตรวจในทางการแพทย์ที่เรียกว่า การทดสอบหาฮอร์โมน HCG (Human Chorionic Gonadotropin) ในน้ำปัสสาวะของผู้หญิง ฮอร์โมน HCG นี้สร้างมาจากรกและเซลล์ตัวอ่อนของมนุษย์หลังปฏิสนธิไปแล้ว 6 วัน และจะมีปริมาณสูงขึ้นเมื่อปฏิสนธิได้ 8 -12 สัปดาห์ขึ้นไป ดังนั้นหากตรวจพบฮอร์โมนนี้นั่นหมายความว่ากำลังตั้งครรภ์ การตรวจนี้มีความแม่นยำมากถึง 90% และสามารถตรวจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นในรายที่มีประจำเดือนขาตั้งแต่ 10-14 วันขึ้นไป

โดยปกติแล้วในชุดทดสอบจะมีอุปกรณ์ตรวจมาให้พร้อมสรรพ สามารถวัดค่าหรือแสดงผลได้ทันที โดยไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์อื่นนอกเหนือจากที่ให้มาในชุดตรวจสอบ ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน 4 รูปแบบ คือ


1. แบบแถบจุ่ม (Test Strip) ในชุดจะประกอบด้วยแผ่นทดสอบการตั้งครรภ์และถ้วยตวงปัสสาวะ ในส่วนของวิธีการใช้ ให้เก็บน้ำปัสสาวะลงในถ้วยตวง แล้วนำแผ่นทดสอบการตั้งครรภ์ด้านที่มีลูกศรชี้ลง จุ่มลงไปในน้ำปัสสาวะเพียง 3 วินาที โดยระวังอย่าให้น้ำปัสสาวะเลยขีดที่กำหนดหรือสูงเกินขีดลูกศรในแผ่นทดสอบ แล้วนำแผ่นทดสอบออกจากน้ำปัสสาวะ และถือหรือวางไว้ในแนวนอน หากเลือกที่จะวาง ควรวางลงบนพื้นผิวที่แห้งสนิทเท่านั้น แล้วรออ่านผลการตั้งครรภ์ได้ภายใน 1-5 นาที ทางที่ดีควรรอจนครบ 5 นาที เพื่อให้แน่ใจว่าชุดทดสอบแสดงผลได้อย่างถูกต้อง ข้อดีของแถบตรวจประเภทนี้คือมีราคาถูก แต่ในการใช้งาน ตอนที่นำแผ่นทดสอบจุ่มลงไปในน้ำปัสสาวะ เราจะต้องคอยระวังไม่ให้น้ำปัสสาวะสูงเกินกว่าขีดที่กำหนด เพราะจะทำให้แผ่นทดสอบเสื่อมสภาพ ที่ตรวจครรภ์แบบแถบจุ่มนี้สามารถหาซื้อได้ในราคาประมาณ 100-150 บาท


2. แบบตลับหรือแบบหยด (Pregnancy Test Cassette) ในชุดประกอบไปด้วยตลับทดสอบการตั้งครรภ์ ถ้วยตวงปัสสาวะ และหลอดหยดสำหรับดูดน้ำปัสสาวะ สำหรับขั้นตอนการใช้ ให้เก็บน้ำปัสสาวะลงในถ้วยตวง แล้วนำหลอดหยดดูดน้ำปัสสาวะเข้าไปในปริมาณที่พอเหมาะ แล้วจึงหยดน้ำปัสสาวะลงบนตลับทดสอบที่วางบนพื้นราบประมาณ 3-4 หยด ไม่จำเป็นต้องหยดมากกว่านี้ แล้วปล่อยชุดทดสอบทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นอ่านผลการทดสอบ ข้อดีของแถบตรวจประเภทนี้คือสามารถช่วยลดโอกาสแผ่นทดสอบเสื่อมสภาพจากวิธีการดูดซับน้ำปัสสาวะของชุดทดสอบได้ สามารถหาซื้อได้ในราคาประมาณ 140-180 บาท


3. แบบปัสสาวะผ่าน (Pregnancy Midstream Tests) ในชุดจะมีแค่แท่งทดสอบการตั้งครรภ์ วิธีก็ใช้เริ่มจากถอดฝาครอบออก โดยที่ถือแท่งทดสอบให้หัวลูกศรชี้ลง แล้วปัสสาวะให้ไหลผ่านบริเวณที่ดูดซับน้ำปัสสาวะซึ่งจะอยู่บริเวณต่ำกว่าลูกศรให้ชุ่มประมาณ 5 วินาที แล้วให้ถือหรือวางแท่งทดสอบการตั้งครรภ์ไว้ในแนวราบ และรออ่านผลได้ตั้งแต่ประมาณ 30 วินาทีเป็นต้นไป แต่เพื่อความแม่นยำควรรออ่านผลภายใน 3-5 นาที ที่ตรวจครรภ์ชนิดนี้มีข้อดีคือสามารถใช้งานได้สะดวกมากกว่าชนิดอื่น เพราะไม่ต้องเก็บน้ำปัสสาวะในถ้วย จึงช่วยลดขั้นตอนในการทดสอบได้ แต่จะมีข้อเสียกว่าสองแบบแรกคือจะมีราคาสูงกว่า มักขายกันประมาณ 180-200 บาท


4. แบบดิจิตอล (Digital Pregnancy Tests) ในชุดจะมีมาแค่แท่งทดสอบการตั้งครรภ์ การใช้งานจะคล้ายกับแบบปัสสาวะผ่าน คือถอดฝาครอบออกพร้อมกับถือแท่งทดสอบโดยให้หัวลูกศรชี้ลง จากนั้นปัสสาวะให้ไหลผ่านบริเวณที่ดูดซับน้ำปัสสาวะให้ชุ่ม เสร็จแล้วถือหรือวางแท่งทดสอบการตั้งครรภ์ไว้ในแนวราบประมาณ 3 วินาทีเท่านั้น ให้ผลที่ค่อนข้างแม่นยำเพราะแสดงผลแบบจอดิจิตอล แต่มีราคาที่สูงกว่าประเภทอื่นค่อนข้างมาก สามารถพบได้ในราคา 600-700 บาท

การอ่านผลจากที่ตรวจครรภ์
การใช้ที่ตรวจครรภ์เป็นการวัดขีดซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการหยดน้ำปัสสาวะไปยังที่ตรวจครรภ์ ซึ่งส่วนมากแล้วในกล่องของชุดทดสอบการตั้งครรภ์ที่ซื้อมาจะบอกวิธีการใช้และวิธีการอ่านค่าไว้แล้วพร้อมรูปตัวอย่าง ควรอ่านค่าหลังจากที่ทิ้งไว้ 5 นาทีจะเป็นค่าที่แม่นยำที่สุด หากทิ้งไว้นานกว่านั้นอาจทำให้ค่าเปลี่ยนแปลง เช่น มีขีดเพิ่มขึ้นมาได้ ซึ่งอาจไม่ใช่การตั้งครรภ์หรือเป็นค่าที่เชื่อถือไม่ได้แล้ว

ขีดในแถบวัดจะมีด้วยกัน 2 ขีด โดยขีด C คือ Control Line ส่วนขีด T คือ Test Line สำหรับผลที่เกิดขึ้นจะมี 3 แบบ ได้แก่
- ตรวจแล้วขึ้น 1 ขีด พบว่ามีขีดขึ้นที่ C อย่างเดียว คือ ได้ผลลบ แปลว่า “น่าจะไม่ตั้งครรภ์” (หมายความว่า ไม่ตั้งครรภ์ หรือ อาจจะตั้งครรภ์แล้วแต่ยังตรวจไม่พบ
- ตรวจแล้วขึ้น 2 ขีด หรือ ขึ้น 2 ขีด จาง ๆ โดยขึ้นที่ C และ T คือ ได้ผลบวก แปลว่า “น่าจะมีการตั้งครรภ์” ถ้าขีด T ขึ้นจาง ๆ แนะนำว่าให้รออีก 2-3 วันแล้วค่อยตรวจใหม่ ถ้าเปลี่ยนไปใช้ชุดตรวจยี่ห้อใหม่ได้ก็ยิ่งดี
- ตรวจแล้วไม่ขึ้นแถบสีหรือไม่ขึ้นสักขีด หรือ ขึ้น 1 ขีดบนตัว T คือ อ่านค่าไม่ได้ แปลว่า “ชุดทดสอบการตั้งครรภ์เสีย” ซึ่งอาจเกิดจากการผลิต การเก็บไม่ถูกวิธี การใช้ปัสสาวะเก่า หรือชุดทดสอบหมดอายุ ถ้าตรวจแล้วไม่ขึ้นสักขีดจะเท่ากับว่าการตรวจครั้งนั้นใช้ไม่ได้ ต้องทำการตรวจใหม่อีกครั้ง

หากได้ผลการตรวจที่ขึ้นขีดจาง ๆ ผลจะยังไม่ชัดเจนว่าตั้งครรภ์แล้วหรือไม่ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าน่าจะมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น เพราะชุดทดสอบในปัจจุบันจะมีความไวสูงมาก ปริมาณฮอร์โมน HCG เพียงแค่ 10 mIU/ml ก็สามารถตรวจพบการตั้งครรภ์ได้แล้ว ในกรณีนี้ให้ตรวจซ้ำใหม่อีกครั้ง หากต้องการความแม่นยำที่สุดควรตรวจในช่วงที่ขาดประจำเดือนไปแล้ว 10-14 วัน ซึ่งผลที่ได้จะชัดเจนกว่า 90%


คำแนะนำในการทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตนเอง
- อ่านคำแนะนำและทำความเข้าใจในการใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์อย่างละเอียด และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
- การตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตัวเองเป็นการตรวจหาการตั้งครรภ์เบื้องต้นเท่านั้น ควรตรวจยืนยันผลการตั้งครรภ์โดยแพทย์อีกครั้ง
- การตรวจปัสสาวะ ควรใช้ปัสสาวะหลังจากตื่นนอนตอนเช้าซึ่งจะให้ผลดีที่สุด จุดสำคัญคือต้องใช้ปัสสาวะสด ๆ หรือเป็นปัสสาวะที่ออกมาใหม่เท่านั้น
- ชุดทดสอบเมื่อซื้อมาแล้วสามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและความชื้น
- เมื่อฉีกซองออกแล้วต้องตรวจทันทีจึงจะได้ผลที่แม่นยำ หากฉีกแล้วยังไม่ตรวจสามารถเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นประสิทธิภาพจะลดลงเพราะเจอความชื้น
- หากต้องการทดสอบซ้ำ ให้เว้นระยะห่างจากการทดสอบครั้งแรกอย่างน้อย 2-3 วัน

แม้ว่าจะสามารถตรวจครรภ์ได้เองที่บ้าน ก็เป็นแค่การตรวจในระดับเบื้องต้นเท่านั้น ทางที่ดีควรไปพบแพทย์เพื่อให้ตรวจยืนยันผลการตั้งครรภ์อีกครั้งหนึ่ง เพราะนอกจากจะมีการตรวจจากปัสสาวะแล้ว ยังมีการตรวจเลือด และการตรวจอัลตราซาวนด์อีกด้วยค่ะ อย่างไรแล้ว Motherhood ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคู่ที่กำลังรอคอยเจ้าตัวน้อย ได้มีเจ้าตัวน้อยมาให้ชื่นชมในปีหนูทองนี้นะคะ

อ่านบทความแนะนำ >>  เพลงกล่อมเด็ก หรือ  เด็กฟันผุ
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th

9
อยู่ไฟหลังคลอด วิธีโบราณนี้จำเป็นจริงหรือ


อยู่ไฟหลังคลอด เป็นเรื่องที่คนโบร่ำโบราณคุ้นเคยกันดี เพราะคนสมัยก่อนมีความเชื่อว่าคุณแม่ตั้งครรภ์จะมีความเปลี่ยนแปลงในร่างกายหลายอย่าง ผู้คนสมัยนั้นจึงคิดค้นวิธีตามภูมิปัญญาชาวบ้านที่จะช่วยให้คุณแม่ฟื้นตัวได้เร็วหลังคลอดบุตร ซึ่งในสมัยนั้นเขาอยู่ไฟกันร่วมเดือนเลยทีเดียว แต่ในยุคนี้คุณแม่หลายคนมีหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น และความเป็นอยู่ของเราก็ต่างไปมาก ทำให้ว่าที่คุณแม่บางคนอาจจะสงสัยว่าการอยู่ไฟหลังคลอดเป็นเรื่องที่จำเป็นหรือเปล่า เพราะก็เห็นคนกว่าครึ่งโลกเขาก็ไม่มีวิธีการแบบนี้กัน เขาก็ยังดูปกติกันดี ถ้าเราไม่อยู่ไฟบ้างก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย การอยู่ไฟหลังคลอดนั้นจะมีประโยชน์ต่อตัวคุณแม่ในด้านใดบ้าง และจำเป็นต้องทำหรือไม่ ว่าที่คุณแม่ที่ยังลังเลสงสัยสามารถตามอ่านได้เลยค่ะ


ที่มาของการอยู่ไฟ
การอยู่ไฟเป็นกระบวนการที่คนในสมัยโบราณคิดค้นขึ้นมาจากภูมิปัญญาชาวบ้าน เพื่อช่วยให้หญิงตั้งครรภ์ได้ฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้าหลังคลอดให้กลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว มีการใช้ความร้อนเข้ามาช่วย เพื่อลดอาการปวดเมื่อยหรืออักเสบบริเวณกล้ามเนื้อหลังและขาที่ถูกกดทับเป็นระยะเวลานานระหว่างตั้งครรภ์ และยังช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามตัว ทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ดี ช่วยปรับสมดุลของร่างกายให้เข้าที่ อาการหนาวสะท้านที่เกิดจากการเสียเลือดและน้ำหลังคลอดก็จะหมดไป ทำให้มดลูกที่ขยายตัวหดรัดตัวหรือเข้าอู่ได้เร็ว พร้อมกันนั้นยังช่วยให้ปากมดลูกปิดได้เร็ว ลดโอกาสของการติดเชื้อในโพรงมดลูกหลังคลอด ทำให้น้ำคาวปลาแห้งเร็ว ไม่ให้มันไหลย้อนกลับจนนำไปสู่ภาวะเป็นพิษ

การอยู่ไฟในสมัยก่อนจะนิยมให้คุณแม่หลังคลอดนอนบนแคร่หรือกระดานเล็กๆระดับเดียวกับพื้น และมีกองไฟอยู่ข้างๆตัวใกล้กับบริเวณท้อง โดยสามีหรือญาติจะคอยเตรียมที่นอนสำหรับการอยู่ไฟ และคอยดูแลไม่ให้กองไฟร้อนจนเกินไป เพราะคุณแม่หลังคลอดจะต้องอยู่ไฟนานอย่างต่ำ 7-15 วัน และจะไม่มีการออกมาจากเรือนอยู่ไฟเด็ดขาด เพราะจะทำให้อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป ร่างกายจะปรับตัวไม่ทัน


การอยู่ไฟหลังคลอดแบบสมัยใหม่
สำหรับคุณแม่ในยุคนี้การอยู่ไฟหลังคลอดมีหลายวิธี ซึ่งแตกต่างไปจากสมัยก่อน เพราะการแพทย์แผนไทยประยุกต์ได้รับการสนับสนุนให้แพร่หลายมากขึ้น คุณแม่อาจจะเลือกอยู่ไฟแค่เพียงสัปดาห์เดียวก็ได้ ขึ้นกับความสะดวก สามารถเลือกอยู่ไฟได้เองที่บ้าน ที่โรงพยาบาล และมีบริการอยู่ไฟแบบเดลิเวอรี่เกิดขึ้นมากมาย

- การนวดประคบสมุนไพร ใช้ลูกประคบร้อนที่ภายในมีสมุนไพรต่างๆมากกว่า 10 ชนิด ได้แก่ ขมิ้น ตะไคร้ ใบส้มป่อย เถาเอ็นอ่อน การบูร ฯลฯ นำมานวดคลึงบริเวณร่างกายและเต้านม หรือนั่งทับลูกประคบเพื่อช่วยลดอาการปวดเมื่อยและรักษาแผลหลังคลอด
- การเข้ากระโจมสมุนไพร ถือเป็นขั้นตอนหลักของการอยู่ไฟ เพราะการเข้ากระโจมเพื่ออบไอน้ำที่ต้มจากสมุนไพรนานาชนิดจะช่วยให้รูขุมขนขับของเสีย ทำให้ผิวเปล่งปลั่งขึ้น ขั้นตอนของกระเข้ากระโจมเพื่ออบไอน้ำสมุนไพรนั้น เริ่มจากให้คุณแม่หลังคลอดเข้าไปนั่งบนม้านั่ง แล้วเอาผ้าที่ทำกระโจมมาคลุมไว้ อาจจะโผล่ออกมาได้แค่ส่วนหน้า เพื่อให้หายใจได้ จากนั้นนำหม้อที่ต้มน้ำจนเดือดไปใส่ไว้ในกระโจม ซึ่งในหม้อนั้นจะมีน้ำสมุนไพรที่มาจากสมุนไพรหลายชนิด เช่น มะกรูด ตะไคร้ ไพล ขมิ้นชัน การบูร พิมเสน ผักบุ้งแดง หัวหอมแดง ใบมะขาม ใบส้มป่อย เปลือกส้มโอ และสมุนไพรชนิดอื่นๆ ถ้าคุณแม่มีตู้อบตัวแบบสมัยใหม่อยู่แล้วที่บ้าน ก็สามารถนำมาใช้แทนกันได้เลย ควรอบตัวด้วยน้ำสมุนไพรแบบนี้ไม่เกิน 15 นาทีต่อวัน เพราะการอบอสมุนไพรนี้จะขับเหงื่อออกมามาก ถ้าเข้าอบนานเกินไปอาจทำให้เป็นลมได้
- การนาบหม้อเกลือ เป็นการใช้หม้อเกลือร้อนมาประคบตามหน้าท้องและส่วนต่างๆของร่างกายและทำการนวดไปด้วย ความร้อนจากหม้อเกลือจะช่วยให้รูขุมขนเปิด สมุนไพรจะซึมเข้าสู่ผิวหนังเพื่อช่วยขับน้ำคาวปลาได้ดี และช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น หม้อเกลือที่ใช้นี้จะเป็นหม้อดินเผาใบเล็กๆ ใส่เกลือเม็ดแล้วนำไปตั้งไฟให้ร้อน จากนั้นวางหม้อลงบนใบพลับพลึง และห่อด้วยผ้าอีกที ใช้ประคบหรือนาบไปบนหน้าท้อง เพื่อให้หน้าท้องยุบลง


การอยู่ไฟหลังคลอดด้วยวิธีข้างต้นนี้ เหมาะกับคุณแม่ที่คลอดเองมากกว่า สามารถอยู่ไฟได้เลยหลังจากออกจากโรงพยาบาล ส่วนคุณแม่ที่ผ่าคลอดจะต้องรอสักเดือนนึงขึ้นไป เพื่อป้องกันไม่ให้แผลผ่าตัดอักเสบจากความร้อนที่ใช้ในการอยู่ไฟ

ข้อห้ามสำหรับการอยู่ไฟหลังคลอด
1. ไม่ควรรับประทานของเย็นหรือน้ำเย็นมาก
2. ห้ามรับประทานของหมักดอง
3. ไม่ควรไปตากฝนหรืออยู่ในที่หนาวจัด

ถ้าคุณแม่อยากลองอยู่ไฟหลังคลอดก็สามารถทำได้ สมัยนี้มีบริการอยู่ไฟมากมาย แต่ควรพิจารณาให้ดี เลือกเจ้าที่ได้มาตรฐาน ในกรณีที่ทางบ้านมีอุปกรณ์ที่สามารถอยู่ไฟได้เอง ก็สามารถปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมเรื่องสมุนไพรที่จะใช้และขั้นตอนการอยู่ไฟ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวคุณแม่มากขึ้น

บทความแนะนำ พี่เลี้ยงเด็ก  อาหารเด็ก
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th

10
จัดแต่ง “ห้องนอนเด็ก” ยังไงให้เสริมพัฒนาการลูก


จัดแต่ง “ห้องนอนเด็ก” ยังไงให้เสริมพัฒนาการลูก
คุณพ่อคุณแม่เคยทราบกันไหมคะว่า การตกแต่ง “ห้องนอนเด็ก” นั้น เราสามารถเลือกสรรเฟอร์นิเจอร์และจัดวางทุกอย่างเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการเสริมสร้างพัฒนาการให้กับลูกรักได้ รวมทั้งยังเป็นการออกแบบให้นำพื้นที่มาใช้สอยให้เป็นประโยชน์สูงสุดอีกด้วย เพราะเมื่อเราลงทุนแต่งห้องครั้งนึงแล้ว เราก็อยากจะให้เขาอยู่ไปได้นาน ๆ ไม่ต้องตกแต่งกันใหม่บ่อย ๆ แต่จะมีเคล็ดลับหรือวิธีการจัดแต่งอย่างไรนั้น ต้องติดตามกันในบทความนี้ค่ะ


จุดที่ตั้งและขนาดต้องเหมาะสม
ห้องนอนเด็กควรเป็นมุมที่มีอากาศถ่ายเท รับลมได้ดี เตียงควรหันไปชิดผนังด้านทึบ ไม่ควรให้เตียงอยู่ริมหน้าต่างเพื่อความปลอดภัยของเด็ก ๆ ขนาดของห้องก็สำคัญไม่แพ้กัน ห้องไม่ควรเล็กเกินไปหรือใหญ่จนรู้สึกโล่งเกินไป เพราะธรรมชาติของเด็กมักจะรื้อของเล่นออกมาเล่นจนหนำใจ ดังนั้น เราควรมีมุมใดมุมหนึ่งไว้ให้เขาได้ประกอบกิจกรรม ไม่ว่าจะเล่นเกม หรือเล่นของเล่น


การใช้สีในห้องนอน
การเลือกสีในห้องนอนสำหรับเด็ก ๆ นั้น ควรเป็นสีสันที่มีความสดใส เหมาะสมกับวัย และสีสันเหล่านี้ยังสามารถดึงดูดความสนใจของเด็กได้เป็นอย่างดี และเพื่อเป็นการเพิ่มจินตนาการให้กับเจ้าตัวน้อยของคุณ การติดวอลเปเปอร์หรือเพนท์ลวดลายต่าง ๆ ลงไปบนผนังห้องก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน แนะนำให้เลือกเป็นรูปทรงเรขาคณิต รูปสัตว์ รูปผลไม้ หรือจะเป็นแผนที่โลกไปเลยก็ได้


วางแผนเพื่อปรับเปลี่ยนการใช้งาน
ลูกจะเป็นเด็กอยู่แค่ในช่วงวัยหนึ่งเท่านั้น การที่เราทำให้ผนังห้องหรือพื้นที่ใช้สามารถยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้ก็จะเป็นการดีกว่า เพราะมันจะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้คุณพ่อคุณแม่ได้หากต้องการขยับขยายพื้นที่เมื่อเด็ก ๆ โตขึ้น เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงฟังก์ชั่นการใช้งานในห้องให้เหมาะสมกับช่วงวัยของเขาที่เปลี่ยนไปได้


เพิ่มพื้นที่ให้เกิดการเรียนรู้
หนึ่งในความกังวลของคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยกำลังซนก็คือการขีดเขียนผนังบ้าน แต่จะไปห้ามเสียทั้งหมดก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แถมยังจะเป็นการปิดกั้นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเด็กเสียเปล่า ๆ ทางออกก็คือหากระดาษสีดำมาติดลงไปบนผนัง หรือทาสีห้องนอนด้วยสีที่สามารถลบบนพื้นผิวได้ เพียงเท่านี้คุณพ่อคุณแม่ก็ได้ช่วยเสริมพัฒนาการให้ลูกได้อีกทางหนึ่งแล้ว


จัดเก็บของเข้าชั้นและตู้
ตู้และชั้นวางของเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้อยู่แล้วไม่ว่าจะในห้องนอนของเด็กหรือผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ โดยเฉพาะในห้องของเด็ก ๆ ที่จะมีของเล่นมากเป็นพิเศษ การเลือกชั้นวางของก็ควรเลือกให้เหมาะกับความสูงของลูก เพื่อให้เขาได้หยิบจับของได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายดาย หรือจะใช้ลิ้นชักที่มีล้อเพื่อให้เด็กเคลื่อนย้ายของเล่นได้สะดวก เล่นเสร็จก็สามารถเก็บกลับคืนที่เดิมได้เอง เป็นการฝึกความรับผิดชอบให้เขาอีกทางหนึ่ง ส่วนตู้เสื้อผ้าก็สามารถใช้ตู้หรือชั้นเก็บที่มีขนาดเดียวกับของผู้ใหญ่ได้ ที่สำคัญคือเรื่องความปลอดภัย หากเด็ก ๆ ของคุณอยู่ในวัยที่เริ่มปีนป่ายได้แล้วละก็ ควรเลือกชั้นวางของที่สามารถยึดติดกับผนังได้ จะได้ไม่ล้มครืนลงมาง่าย ๆ ในยามที่เจ้าหนูปีนป่าย รวมทั้งลบเหลี่ยมมุมของตู้ หรือติดอุปกรณ์ soft close ที่ช่วยลดแรงกระแทกเวลาเปิดปิดหน้าบานตู้และลิ้นชักต่าง ๆ เพิ่มด้วยก็จะยิ่งดี



เอนกายอย่างเป็นสุข
สิ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลยในห้องนอนก็คงจะหนีไม่พ้นเตียงนอน แทนที่จะใช้เตียงที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมแบบปกติธรรมดา คุณอาจลองเลือกเตียงนอนดีไซน์เก๋ ๆ เช่น เตียงทรงเรือ ทรงรถแข่ง การเลือกดีไซน์ของเตียงนอนให้มีรูปทรงที่โฉบเฉี่ยวแปลกตา หรือมีดีไซน์ที่ตรงกับความชอบและความสนใจของเด็ก ก็จะทำให้เขามีความสนใจมากขึ้น หรือหากมีเด็ก ๆ มากกว่าหนึ่งคนในห้องเดียวกัน ก็ลองปรับเป็นเตียงสองชั้น เพราะจะช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยและพื้นที่เก็บของให้มีมากขึ้นด้วย



เมื่อห้องนอนไม่ได้เป็นแค่ที่นอน
ลองออกแบบห้องนอนให้กลายเป็นพื้นที่แห่งการผจญภัยสำหรับเด็ก ๆ ดูสิ เขาจะได้โลดแล่นไปกับจินตนาการและยังได้ออกกำลังกายผ่านทางการทำกิจกรรมสุดครีเอทในห้องนอนได้อีกด้วย ตกแต่งสีสันเพื่อจำลองห้องนอนให้เหมือนท้องทะเล เลือกวอลเปเปอร์หรือทาสีห้องด้วยโทนสีที่เข้ากัน หาโคมไฟที่เหมือนกับโคมไฟบนเรือมาติดเข้าไป เพียงเท่านี้ก็ทำให้จินตนาการของเด็ก ๆ สมจริงขึ้นมาทันตา หรือจะติดอุปกรณ์ปีนหน้าผาจำลองหรือแป้นชู้ตบาสสำหรับเด็กที่โตขึ้นมาอีกนิดก็เข้าทีเช่นกัน



มุมทำการบ้านของหนู
หากลูกของคุณอยู่ในวัยเรียน การตกแต่งมุมทำการบ้านของเด็ก ๆ ด้วยผนังเจาะรูที่พร้อมให้เขาได้เคลื่อนย้ายชั้นแขวนและจัดวางอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง ก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่จะช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และอาจช่วยให้เด็ก ๆ สนุกกับการทำการบ้านได้มากขึ้น และสำหรับบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยจำกัดหรือมีเด็ก ๆ อยู่มากกว่าหนึ่งคนในห้อง อาจรวบมุมทำการบ้านและเตียงนอนเข้าด้วยกันก็เป็นความคิดที่ไม่เลว และหากมีลูกเพียงคนเดียว นี่ก็เป็นทางเลือกของการจัดพื้นที่ใช้สอยเผื่อเขาโตไปในตัว

บทความน่าสนใจเพิ่มเติม : แพ้นมวัว ลูกของคุณกำลังเผชิญปัญหานี้อยู่หรือเปล่า หรือ โรงเรียนนานาชาติ กับ 4 สิ่งที่ต้องพิจารณา
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กทั้งหมดที่นี่ >> story.motherhood.co.th

11
‘Bullying’ เมื่อลูกคุณถูกรังแก


Bullying ถือเป็นคำศัพท์ที่กำลังอินมากในบ้านเราช่วง 2-3 ปีมานี้ เนื่องจากสังคมไทยเพิ่งเริ่มตระหนักถึงผลร้ายของการ bully (การกลั่นแกล้ง) ว่ามันทำให้ผู้อื่นรู้สึกแย่หรือเจ็บตัวอย่างไร และโดยส่วนมากเหยื่อของการโดน bully มักจะถูกรังแกจากเพื่อนที่โรงเรียนหรือสมาชิกในครอบครัวอย่างพี่น้อง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อเด็กผู้เป็นเหยื่อ อาจจะทำให้เด็กเกลียดการไปโรงเรียนหรือโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญหาในการเข้าสังคม

แบบไหนคือ Bullying
เราสามารถแบ่งการ bully ออกตามลักษณะความรุนแรงได้เป็นกลุ่มหลักๆ ดังนี้
- การทำร้ายร่างกายและใช้กำลังบังคับ เช่น ชก ตี หยิก ผลัก เตะ แย่งหรือข่มขู่เอาสิ่งของจากเหยื่อ ทำลายข้าวของของเหยื่อให้เสียหาย นำข้าวของของเหยื่อไปซ่อนหรือทิ้ง สั่งให้ทำในเรื่องที่ไม่อยากทำ รวมทั้งสั่งให้ไปแกล้งคนอื่นต่ออีกทอด
- การใช้คำพูดทำร้ายความรู้สึก เช่น ล้อเลียน ข่มขู่ วิพากย์วิจารณ์ในทางลบ ใช้ถ้อยคำล่วงละเมิดทางเพศ
- การกลั่นแกล้งทางสังคม เช่น การกีดกันเหยื่อออกจากสังคม การข้ามคนอื่นมีปฏิสัมพันธ์กับเหยื่อ โดยใช้กำลังขมขู่หรือปล่อยข่าวทางลบเกี่ยวกับตัวเหยื่อ
- การกลั่นแกล้งทางโซเชียล หรือ Cyberbullying เป็นการกลั่นแกล้งผ่านสื่อสังคมออนไลน์โดยผู้แกล้งไม่ต้องเปิดเผยตัวเอง เช่น ลงภาพตัดต่อในทางเสียหาย คอมเมนท์ทำร้ายความรู้สึก ปล่อยข่าวลือ
- การกลั่นแกล้งในที่ทำงาน เกิดขึ้นกับคนวัยทำงาน มักผ่านการใช้อำนาจในที่ทำงาน ทำให้เหยื่อมีประสิทธิภาพการทำงานที่ถดถอยลง รู้สึกไม่อยากมาทำงาน และลาออกไปในที่สุด


ลูกของคุณโดน bully อยู่หรือเปล่า
สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกรักของคุณกำลังตกเป็นเหยื่อของการถูกกลั่นแกล้ง มีดังนี้
- ลูกบอกว่าทำของหายบ่อยๆ
- มีร่องรอยบาดเจ็บ ฟกช้ำตามเนื้อตัวของลูก โดยลูกไม่บอกสาเหตุ
- กินอาหารเยอะผิดปกติตอนอยู่บ้าน เพราะอาจจะถูกรังแกไม่ให้ได้กินอาหารกลางวันที่โรงเรียน
- ลูกมีอาการเครียด ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปวดท้อง ไม่อยากอาหาร
- มีอาการทางจิต เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ฝันร้าย ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ปลีกตัว
- ไม่อยากไปโรงเรียน หาข้ออ้างที่จะไม่ไปเรียน ไปเรียนสาย ขาดเรียนบ่อย ผลการเรียนแย่ลง
- หลีกหนีการเข้าสังคม หนีออกจากบ้าน
- ทำร้ายตัวเอง หรือคิดฆ่าตัวตาย


ถ้าหากลูกเราเป็นฝ่าย bully เด็กอื่นละ
เด็กที่ bully ผู้อื่นใช่ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากการกระทำของตัวเอง ในเบื้องต้นเขาจะมีเพื่อนน้อยลง เหลือคบกันอยู่แต่กลุ่มเพื่อนที่มีนิสัยชอบ bully เหมือนกัน อาจจะพากันไปทำสิ่งที่รุนแรงมากยิ่งกว่าเดิมเมื่อเขาโตขึ้น เพื่อป้องกันลูกของคุณไปรังแกเด็กอื่น และเพื่อที่ตัวเขาเองจะไม่เป็นที่รังเกียจของเพื่อนๆ ควรดูว่าเด็กมีพฤติกรรมต่อไปนี้หรือไม่

- มีส่วนร่วมในการชกต่อยหรือโต้เถียงกันอย่างรุนแรง
- มีพฤติกรรมแสดงออกอย่างก้าวร้าวมากขึ้น
- เป็นเพื่อนกับเด็กที่แสดงออกถึงความก้าวร้าว
- มีเงินหรือสิ่งของเพิ่มขึ้น โดยที่เด็กอธิบายไม่ได้ว่าไปเอาของพวกนั้นมาจากไหน
- ชอบกล่าวโทษคนอื่น และไม่ยอมรับผิดทั้งที่เห็นชัดเจนว่าเป็นความผิดของตนเอง
- หมกมุ่นอยู่กับการแข่งขัน และอยากมีเชื่อเสียง อยากได้รับความนิยม

ทำไมเด็กจึงชอบรังแกคนอื่น
- บางคนทำไปเพราะความสนุกสนาน ขาดทักษะในการรับรู้ความรู้สึกผู้อื่น ขาดทักษะในการแสดงความเห็นอกเห็นใจ
- เด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง จึงซึมซับเอาพฤตกรรมเหล่านั้นมาใช้จนเคยชิน เมื่อกระทำต่อผู้อื่นแล้วก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกอย่างไรบ้าง
- เด็กอาจจะมีประสบการณ์ถูกรังแกมาก่อน และไม่ได้รับการปกป้อง จึงต้องเริ่มรังแกคนอื่นก่อนบ้าง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเสียเอง
- เด็กบางคนรังแกผู้อื่นเพื่อสร้างความมั่นใจให้ตนเอง รู้สึกว่าตนเองเข้มแข็ง มีอำนาจ และเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น
- เด็กบางคนไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งคนอื่นด้วยความเกเร แต่ทำลงไปเพราะขี้รำคาญเด็กคนอื่น
- เด็กยังควบคุมความอิจฉาไม่เป็น จึงชดเชยความรู้สึกตัวเองด้วยการรังแกคนอื่น
- เด็กอาจถูกที่บ้านวางกรอบให้มีพฤติกรรมที่ดีมากเกินไป ทำให้เด็กเก็บกดและแสดงความเกเรกับเด็กอื่นนอกบ้าน


แก้ไขอย่างไรเมื่อลูกถูก bully
- พ่อแม่ควรแจ้งให้ครูของลูกทราบถึงปัญหา และยื่นคำขาดให้โรงเรียนยุติปัญหาการรังแกกัน โดยไม่ต้องกังวลว่าเมื่อแจ้งไปแล้วลูกจะถูกรังแกหนักกว่าเดิม
- ไม่ควรที่จะคิดว่าเป็นสิ่งที่ลูกต้องเผชิญปัญหาด้วยตัวเอง การถูกรังแกเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการช่วยเหลือจากผู้ใหญ่
- ควรศึกษานโยบายของทางโรงเรียนที่มีต่อปัญหาการรังแกกันของเด็กนักเรียนให้ดี เพราะทางโรงเรียนมีหน้าที่ดูแลให้นักเรียนมีสวัสดิภาพในขณะที่อยู่โรงเรียน
- พ่อแม่ควรให้ความร่วมมือกับทางโรงเรียนในการแก้ปัญหา และรวบรวมหลักฐานที่ชัดเจนเพื่อใช้อ้างอิงได้เมื่อจำเป็น
- พูดคุยกับพ่อแม่ของเด็กที่รังแก เพื่อให้เขารับทราบถึงปัญหาและหาแนวทางจัดการปัญหาอีกแรง โดยอาจนัดเจรจาพร้อมกันที่โรงเรียนต่อหน้าครู

ป้องกันไม่ให้ลูกถูก bully อย่างไร
- ฝึกความมั่นใจให้ลูก เพื่อให้เขากล้าคิดกล้าทำ กล้าจะเปิดเผยเมื่อเขาโดนรังแก ไม่เก็บงำปัญหา นอกจากนี้เด็กที่ชอบรังแกมักจะเลือกเหยื่อที่แสดงอาการกลัวหรือแสดงความอ่อนแอให้เห็น ถ้าลูกเป็นเด็กที่แสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเองอยู่ตลอดเวลา ก็จะลดการตกเป็นเป้าไปได้มาก
- พูดคุยสอบถามเรื่องที่โรงเรียน เพราะบางครั้งลูกกลัวพ่อแม่จะมองว่าเขาอ่อนแอหรือเป็นความผิดที่ปล่อยให้คนอื่นรังแก ที่สำคัญอย่าได้กล่าวโทษลูกว่าเป็นความผิดที่อ่อนแอเองเด็ดขาด
- สอนให้ลูกหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงในการถูกรังแก เช่น มุมอับหลังโรงเรียน ห้องน้ำ
- ควรทำความรู้จักกับเพื่อนของลูกไว้บ้าง เพราะเด็กจะกล้าเปิดใจกับเพื่อนมากกว่า เขาอาจจะเล่าเรื่องที่ถูกรังแกให้เพื่อนคนที่เข้าไว้ใจฟัง
- สอนให้ลูกกล้ามีปากมีเสียงบ้าง สิ่งนี้ไม่ใช่การสอนให้เด็กเป็นคนมีวาจาร้ายกาจหรือก้าวร้าว หากแต่หมายถึงกล้าที่จะพูดเพื่อปกป้องสิทธิ์หรือรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง
- สอดส่องดูแลการใช้งานโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และสื่อสังคมออนไลน์ของลูกบ้าง เพราะเป็นพื้นที่ที่จะเกิด cyberbullying ได้มาก


การถูกกลั่นแกล้งไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ เพราะมันสามารถกระทบถึงจิตใจของเด็กในระยะยาวได้ หัวใจของการแก้ปัญหาคือคุณพ่อคุณแม่ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก เด็กก็จะไว้ใจ และกล้าเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นให้ฟัง เพราะลูกรู้ว่าพ่อแม่พร้อมจะเป็นที่พึ่งให้เขาได้เสมอไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น ถ้าเด็กเล่าให้ฟังแต่เนิ่นๆก็จะยับยั้งปัญหา Bullying ได้ไวยิ่งขึ้น

บทความน่าสนใจเพิ่มเติม : โรคมือเท้าปาก หรือ ไข้เลือดออก
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กทั้งหมดที่นี่ >> story.motherhood.co.th

12
ไข้เลือดออก อาการไข้เลือดออกภัยร้ายใกล้ตัว ป้องกันก่อนจะสาย


“ไข้เลือดออก” เป็นโรคที่เกิดการระบาดในไทยเกือบตลอดทั้งปี แต่จะกระจายตัวมากในช่วงหน้าฝนซึ่งเป็นช่วงที่ยุงเริ่มวางไข่ หากลูกรักเกิดป่วยเป็นไข้เลือดออกขึ้นมา คุณพ่อคุณแม่คงวิตกกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะเคยได้ยินมาว่าไข้เลือดออกทำให้เสียชีวิตได้ ฟังดูน่าเครียดน่ากลัว แต่การได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดตั้งแต่แรกที่มีอาการ ก็จะสามารถบรรเทาให้พ้นระยะอันตรายได้

ทำความรู้จักโรคไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก (Dengue Hemorrahgic Fever หรือ Dengue Shock Syndrome) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกี่ (Dengue virus) ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ เดงกี่-1, เดงกี่-2, เดงกี่-3 และ เดงกี่-4 สามารถแพร่พันธุ์ได้โดยมียุงลายเป็นพาหะ ซี่งในภาวะโลกร้อนเช่นนี้ยุงแต่ละชนิดยิ่งสามารถแพร่พันธุ์ได้เร็วขึ้น

ไข้เลือดออกมีกี่ระยะ
เราสามารถแบ่งระยะของโรคไข้เลือดออกได้ตามอาการของโรค ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
- ระยะไข้สูง เมื่อเริ่มเป็นจะมีไข้สูง 38-40 องศาเซลเซียส อยู่ 2-7 วัน หน้าจะแดง มีอาการซึม ปวดเมื่อยเนื้อตัว คลื่นไส้ และเบื่ออาหาร บางคนอาจมีจุดเลือดสีแดงๆขึ้นตามลำตัว แขน และขา
- ระยะวิกฤต จะเกิดขึ้นประมาณวันที่ 3-6 เนื่องจากป่วยมาแล้วหลายวัน จะมีอาการอ่อนเพลียมากขึ้น มีอาการปวดเมื่อยเนื้อตัวมากกว่าเดิม บางรายอาจจะปวดท้อง ท้องอืด ยังคงเบื่ออาหาร บางรายมือและเท้าอาจเริ่มเย็นลง ร่วมกับไข้ที่ลดลง คุณพ่อคุณแม่อาจจะเข้าใจผิดคิดว่าลูกหายไข้แล้ว ทั้งที่จริงกำลังเข้าสู่ระยะช็อกที่รุนแรง และอาจเกิดตามมาในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง
- ระยะฟื้นตัว เป็นระยะหลังไข้ลดโดยไม่มีอาการช็อก เกล็ดเลือดจะเริ่มสูงขึ้น ชีพจรและความดันโลหิตกลับเข้าสู่ระดับปกติ อาการปวดท้อง ท้องอืดจะดีขึ้น และความอยากอาหารเริ่มกลับมา

หากลูกมีอาการเหล่านี้ … รีบพาไปพบแพทย์
- มีอาการแย่แม้ไข้จะลดลง หรือไข้ลดลงแต่ยังมีอาการเพลีย
- เลือดออกผิดปกติ
- อาเจียนมาก
- ปวดท้องมาก
- ซึม ไม่ดื่มน้ำ
- เด็กเล็กจะร้องกวนมาก กระสับกระส่าย โวยวาย อยู่ไม่นิ่ง
- มีอาการเพ้อ ตัวเย็น เหงื่อออก ตัวลาย

ช่วยกันป้องกันไข้เลือดออก
โดยทั่วไปเราเริ่มต้นด้วยการป้องกันไม่ให้ยุงมากัดลูก หาผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงมาใช้กับทุกคนในครอบครัวในเวลาที่ต้องออกไปยังบริเวณสุ่มเสี่ยงหรือมียุงชุม สำหรับลูกน้อยที่ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถใช้ผลิตภัณฑ์กันยุงประเภททาได้หรือไม่ ก็สามารถใช้สติกเกอร์กันยุงได้เช่นกัน แต่ที่สำคัญไม่แพ้กัน เราต้องกำจัดการเพาะพันธุ์ยุงลายจากต้นตอเพื่อป้องกันไม่ให้บ้านหรือชุมชนมียุง การกำจัดยุงลายมีวิธีง่ายๆ ดังนี้
- กำจัดลูกน้ำและแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
- ทำลายภาชนะที่มีน้ำขังหรือไม่ใช้แล้วหรือใส่ทรายอะเบท
- ส่วนที่ยังใช้อยู่ก็ต้องปิดฝาให้ดี อย่าให้ยุงลงไปวางไข่
- ใส่น้ำส้มสายชู น้ำเกลือ ผงซักฟอก ลงในชามที่เอาไว้รองขาตู้กับข้าว เพื่อกันไม่ให้ยุงมาวางไข่

วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกมีมั้ย?
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกนั้นสามารถใช้ได้กับผู้ที่มีอายุ 9 ปีขึ้นไป ถึงไม่เกิน 45 ปี และสามารถป้องได้กับไวรัสเดงกี่สายพันธุ์ 1-4 เท่านั้น โดยฉีดทั้งหมด 3 เข็ม แต่ยังไม่สามารถป้องกันได้เต็มร้อยเปอร์เซนต์ ทำได้แค่ลดความรุนแรงของโรคลงบ้าง
ในช่วงฤดูฝนที่ยุงลายกำลังระบาดแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนิ่งนอนใจหากพบว่าลูกมีอาการไข้ ควรพาเขามาพบหมอตั้งแต่เนิ่นๆที่มีอาการ เพื่อรับการตรวจอย่างถูกต้อง หากพบว่าเป็นไข้เลือดออกก็จะได้รีบรักษา เชื้อจะได้ไม่พัฒนาจนเข้าสู่ระยะวิกฤต

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
อาทิ โรคมือเท้าปากเปื่อย และ Bully การกลั่นแกล้งที่ผู้ใหญ่ควรตระหนัก เป็นต้น

13
ไข้เลือดออก อาการไข้เลือดออกภัยร้ายใกล้ตัว ป้องกันก่อนจะสาย


“ไข้เลือดออก” เป็นโรคที่เกิดการระบาดในไทยเกือบตลอดทั้งปี แต่จะกระจายตัวมากในช่วงหน้าฝนซึ่งเป็นช่วงที่ยุงเริ่มวางไข่ หากลูกรักเกิดป่วยเป็นไข้เลือดออกขึ้นมา คุณพ่อคุณแม่คงวิตกกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะเคยได้ยินมาว่าไข้เลือดออกทำให้เสียชีวิตได้ ฟังดูน่าเครียดน่ากลัว แต่การได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดตั้งแต่แรกที่มีอาการ ก็จะสามารถบรรเทาให้พ้นระยะอันตรายได้

ทำความรู้จักโรคไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก (Dengue Hemorrahgic Fever หรือ Dengue Shock Syndrome) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกี่ (Dengue virus) ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ เดงกี่-1, เดงกี่-2, เดงกี่-3 และ เดงกี่-4 สามารถแพร่พันธุ์ได้โดยมียุงลายเป็นพาหะ ซี่งในภาวะโลกร้อนเช่นนี้ยุงแต่ละชนิดยิ่งสามารถแพร่พันธุ์ได้เร็วขึ้น

ไข้เลือดออกมีกี่ระยะ
เราสามารถแบ่งระยะของโรคไข้เลือดออกได้ตามอาการของโรค ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
- ระยะไข้สูง เมื่อเริ่มเป็นจะมีไข้สูง 38-40 องศาเซลเซียส อยู่ 2-7 วัน หน้าจะแดง มีอาการซึม ปวดเมื่อยเนื้อตัว คลื่นไส้ และเบื่ออาหาร บางคนอาจมีจุดเลือดสีแดงๆขึ้นตามลำตัว แขน และขา
- ระยะวิกฤต จะเกิดขึ้นประมาณวันที่ 3-6 เนื่องจากป่วยมาแล้วหลายวัน จะมีอาการอ่อนเพลียมากขึ้น มีอาการปวดเมื่อยเนื้อตัวมากกว่าเดิม บางรายอาจจะปวดท้อง ท้องอืด ยังคงเบื่ออาหาร บางรายมือและเท้าอาจเริ่มเย็นลง ร่วมกับไข้ที่ลดลง คุณพ่อคุณแม่อาจจะเข้าใจผิดคิดว่าลูกหายไข้แล้ว ทั้งที่จริงกำลังเข้าสู่ระยะช็อกที่รุนแรง และอาจเกิดตามมาในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง
- ระยะฟื้นตัว เป็นระยะหลังไข้ลดโดยไม่มีอาการช็อก เกล็ดเลือดจะเริ่มสูงขึ้น ชีพจรและความดันโลหิตกลับเข้าสู่ระดับปกติ อาการปวดท้อง ท้องอืดจะดีขึ้น และความอยากอาหารเริ่มกลับมา

หากลูกมีอาการเหล่านี้ … รีบพาไปพบแพทย์
- มีอาการแย่แม้ไข้จะลดลง หรือไข้ลดลงแต่ยังมีอาการเพลีย
- เลือดออกผิดปกติ
- อาเจียนมาก
- ปวดท้องมาก
- ซึม ไม่ดื่มน้ำ
- เด็กเล็กจะร้องกวนมาก กระสับกระส่าย โวยวาย อยู่ไม่นิ่ง
- มีอาการเพ้อ ตัวเย็น เหงื่อออก ตัวลาย

ช่วยกันป้องกันไข้เลือดออก
โดยทั่วไปเราเริ่มต้นด้วยการป้องกันไม่ให้ยุงมากัดลูก หาผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงมาใช้กับทุกคนในครอบครัวในเวลาที่ต้องออกไปยังบริเวณสุ่มเสี่ยงหรือมียุงชุม สำหรับลูกน้อยที่ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถใช้ผลิตภัณฑ์กันยุงประเภททาได้หรือไม่ ก็สามารถใช้สติกเกอร์กันยุงได้เช่นกัน แต่ที่สำคัญไม่แพ้กัน เราต้องกำจัดการเพาะพันธุ์ยุงลายจากต้นตอเพื่อป้องกันไม่ให้บ้านหรือชุมชนมียุง การกำจัดยุงลายมีวิธีง่ายๆ ดังนี้
- กำจัดลูกน้ำและแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
- ทำลายภาชนะที่มีน้ำขังหรือไม่ใช้แล้วหรือใส่ทรายอะเบท
- ส่วนที่ยังใช้อยู่ก็ต้องปิดฝาให้ดี อย่าให้ยุงลงไปวางไข่
- ใส่น้ำส้มสายชู น้ำเกลือ ผงซักฟอก ลงในชามที่เอาไว้รองขาตู้กับข้าว เพื่อกันไม่ให้ยุงมาวางไข่

วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกมีมั้ย?
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกนั้นสามารถใช้ได้กับผู้ที่มีอายุ 9 ปีขึ้นไป ถึงไม่เกิน 45 ปี และสามารถป้องได้กับไวรัสเดงกี่สายพันธุ์ 1-4 เท่านั้น โดยฉีดทั้งหมด 3 เข็ม แต่ยังไม่สามารถป้องกันได้เต็มร้อยเปอร์เซนต์ ทำได้แค่ลดความรุนแรงของโรคลงบ้างในช่วงฤดูฝนที่ยุงลายกำลังระบาดแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนิ่งนอนใจหากพบว่าลูกมีอาการไข้ ควรพาเขามาพบหมอตั้งแต่เนิ่นๆที่มีอาการ เพื่อรับการตรวจอย่างถูกต้อง หากพบว่าเป็นไข้เลือดออกก็จะได้รีบรักษา เชื้อจะได้ไม่พัฒนาจนเข้าสู่ระยะวิกฤต

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
อาทิ โรคมือเท้าปาก! เข้าหน้าฝนแล้วต้องระวังเป็นพิเศษ และ ‘Bullying’ เมื่อลูกคุณถูกรังแก เป็นต้น

หน้า: [1]
ติดต่อผู้ดูแลเว็บ หรือ สนใจลงโฆษณา โทร ๐๘๖๒๒๒๐๐๕๕

อีเบย์ อุดรธานี ร่ม รับนำเข้าสินค้าจากจีน power bank กระบอกน้ำ ของพรีเมี่ยม แฟลชไดร์ฟ plc mitsubishi ปากกา taobao เฟอร์นิเจอร์ แหวนเพชร servo motor mitsubishi