หลวงปู่จำพรรษาที่วัดศรีษะเกษ ๓ พรรษา ระหว่างจำพรรษาอยู่นี้ได้ศึกษาธรรมปฏิบัติด้วย จนพระครูแก้วหมดความรู้ที่จะสอน หลวงปู่จึงกราบลาพระครูแก้ว เสาะแสวงหาพระอาจารย์ที่เก่งกล้าสามารถต่อไป โดยเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร ยึดป่าถ้ำเป็นที่บำเพ็ญความเพียร จนกว่าจะพบพระอาจารย์ที่เก่งกล้าและเชี่ยวชาญไสยเวท รวมทั้งสมถวิปัสสนากรรมฐาน
สมัยนั้นเมืองไทยมีพระอาจารย์รูปหนึ่งซึ่งมีกิตติศัพท์โด่งดังมาก ชื่อเสียงลือกระฉ่อนทั่วทั้งประเทศไทยและลาว สามารถแสดงปาฏิหาริย์เสกคนให้เป็นจระเข้ เสกช้างให้เหลือเท่าแมลงวัน เนรมิตวัตถุในอากาศได้ ฯลฯ แม้แต่กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๕ ยังมอบกายถวายตัวเป็นศิษย์ พระอาจารย์รูปนี้คือ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท หลวงปู่ทราบข่าวจึงตั้งใจแรงกล้าที่จะขอมอบตัวเป็นศิษย์เพื่อศึกษาวิชาอาคมและฝึกสมถวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงปู่ศุขผู้เป็นหนึ่งในยุคนั้น
เป็นศิษย์หลวงปู่ศุขถึง ๙ ปีตั้งแต่อ่านประวัติหลวงปู่เครื่องมา ยังไม่พบว่าหลวงปู่ศุขเป็นอาจารย์ของหลวงปู่เครื่อง นอกจากสมเด็จลุน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะไม่มีผู้ใดถามถึงครูบาอาจารย์ของท่านนั่นเองว่ามีใครบ้าง
เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๒๑ เวลา ๒๑.๓๐ น. ผู้เขียนได้เดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่ที่วัดเทพสิงหาร พร้อมเพื่อนอีก ๓ คน โดยพักนอนที่บ้าน คุณสุรชาติ ชำนาญศิลป์ ส.ส. อุดรธานี ซึ่งสมัยนั้นดำรงตำแหน่งกำนันตำบลนายูง ได้สนทนากับหลวงปู่หลายเรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องธรรมะ ตอนหนึ่ง ผู้เขียนได้ถามถึงเพื่อนสหธรรมิกของท่านเช่น หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่แหวน หลวงปู่คำมี หลวงพ่อกบ ว่ารู้จักกันหรือไม่ หลวงปูกล่าวว่า รู้จักและเคยธุดงค์ร่วมกัน จากนั้นก็ถามว่า ท่านเคยธุดงค์พบหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าบ้างหรือไม่
หลวงปู่ตอบว่า “ไม่เคยพบขณะธุดงค์ แต่ไปเรียนวิชาอาคมกับท่านเป็นเวลาถึง ๙ ปี”
ผู้เขียนจึงย้อนถาม “กี่ปีนะ หลวงปู่”
หลวงปู่ตอบย้ำชัดเจนว่า “๙ ปี”
ผู้เขียนจึงถือโอกาสถามต่อไปว่า “ที่เล่าลือกันว่า หลวงปู่ศุขเสกคนเป็นจระเข้ เสกหัวปลีเป็นกระต่าย เสกใบมะขามเป็นต่อเป็นแตน หลวงปู่เคยเห็นกับตาสักครั้งไหม”
ได้รับคำตอบว่า “เคยเห็น ท่านเก่งจริงๆ “
แล้วหลวงปู่ก็เล่าถึงการเดินทางจากฝั่งโขงแห่งราชอาณาจักลาวสู่ประเทศไทยด้วยการเดินธุดงค์ด้วยเท้า
ระหว่างทาง ท่านพบสถานที่อันสงบบนภูเขาลูกหนึ่ง จึงแวะพักบำเพ็ญภาวนาก่อนเดินทางต่อ เขาลูกนั้นมีถ้ำใหญ่ถ้ำหนึ่ง ซึ่งมีงูเหลือมใหญ่และเสือนอนขวางปากถ้ำอยู่ ภายในถ้ำค้างคาวบินขวักไขว่ บางตัวเกาะผนังถ้ำห้อยหัวลงน่ากลัวเหมือนกัน หลวงปู่จึงพูดกับงูเหลือมและเสือว่า “ขอพักด้วยคนนะ เรามาปฏิบัติธรรม ไม่เบียดเบียนใคร” งูเหลือมและเสือก็หลีกทางหนีไป
เดินทางจนถึงวัดปากคลองมะขามเฒ่าจึงมอบตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ศุข
หลวงปู่ศุข เกสโร
หลวงปู่ศุข นามเดิมท่านชื่อ ศุข นามสกุล เกษเวช ต่อมาลูกหลานได้ใช้นามสกุลว่า เกษเวชสุริยา ท่านเกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ ปีวอก พ.ศ.๒๓๙๐ ที่บ้านมะขามเฒ่า ต.มะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท โดยมีบิดาชื่อนายน่วม มารดาชื่อนาง ทองดี ตั้งบ้านเรือนอยู่ ที่ ตำบลมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท โดยมีพี่น้องรวม ๙ คนคือ ๑.หลวงปู่ศุข ๒.นางอ่ำ ๓.นายรุ่ง ๔.นายไข่ ๕.นาง สิน ๖.นายมี ๗.นางขำ ๘.นายพลอย ๙.หลวงพ่อปลื้ม
หลวงปู่ศุขท่านไปอยู่กับลุงแฟง ที่ตำบลบางเขน จังหวัดพระนคร มีอาชีพทำสวนเมื่อเจริญเติบโตเป็นหนุ่มได้มีภรรยา ชื่อสมบุญ และมีบุตร ๑ คนชื่อนายสอน เกสเวชสุริยา เมื่ออายุประมาณ ๒๕ ปีหลวงปู่ศุขได้อุปสมบทที่วัดบางเขน(หรือปัจจุบันชื่อว่า วัดโพธิ์ทองล่าง จังหวัดนนทบุรี) โดยมีพระครู เชย จนฺทสิริ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระถมยา เป็นพระคู่สวด
เมื่ออุปสมบทแล้วได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและพระกํมมัฏ ฐานอยู่กับพระอุปัชฌาย์ ต่อมาท่านได้กราบลาพระอุปัชฌาย์มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสามง่าม ปทุมวัน เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมเพิ่มเติม และย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดชนะสงครามบางลำพู ณ ที่นี่ท่านได้พบกับหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานจังหวัดพิจิตร ได้ศึกษาวิชาต่างๆ ร่วมกันท่านทั้งสองจึงมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ
หลวงปู่ศุขก็ได้ออกธุดงค์ตามป่าเขาลำเนาไพรทั่วทุกภูมิภาค เพื่อเจริญจิตภาวนาและแสวงหาครูอาจารย์ที่มีวิชาอาคมแก่กล้าตามสถานที่ต่างๆ มากมาย ทำให้หลวงปู่ศุขมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทุกสารทิศเรื่องวิชาอาคมเข้ม ขลัง
เมื่อท่านเดินธุดงค์ไปภาคเหนือก็แวะเยื่ยมโยมพ่อโยมแม่ที่ ตำบลมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ซึ่งเป็นบ้านเกิด โดยไปพักที่วัดร้างแห่งหนึ่งชื่อ “วัดอู่ทอง” โยมแม่ของท่านนิมนต์ให้ท่านจำพรรษาที่วัดร้างแห่งนั้น เมื่อท่านอยู่ที่วัดร้างก็ได้พัฒนาวัดร้างให้เจริญรุ่งเรืองมาโดยลำดับ ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเรียกตามหมู่บ้านว่า “ วัดปากคลองมะขามเฒ่า” จนถึงทุกวันนี้
หลวงปู่ศุข มรณภาพเมื่อ ๒๓ ธันวาคม ๒๔๖๖ ( เดือนอ้าย ปีกุน) อายุ ๗๖ ปี