1364.เหรียญรุ่น3 หรือรุ่นสุดท้าย หลวงพ่ออ๋อย ยโส วัดไทร บางขุนเทียน ธนบุรี กทม ปี2500 กะไหล่ทอง แห้งๆ หายาก ใช้แทนเหรียญรุ่นแรก ปี2493 เหรียญรุ่น2ปี2496 ที่ราคาหลักหลายๆหมื่นได้เลยครับ เหรียญท่านมีประสบการณ์ แถวบางขุนเทียน ฝั่งธน รู้กันดีครับ เปิดบูชา 2500- เหรียญรุ่นนี้เป็นรุ่นสุดท้ายที่องค์หลวงปู่ได้ปลุกเสกเพื่อใช้แจกในงานที่ระลึกฉลองมณฑปพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งในขณะนั้นหลวงปู่ดำรงตำแหน่งเป็น พระครูถาวรสมณวงศ์
เจ้าอาวาส ต่อมาภายหลังหลวงปู่ได้มรณภาพลงในปี 2501
ประวัติ หลวงพ่ออ๋อย วัดไทร กรุงเทพมหานคร
องค์ท่านเป็นสหธรรมิกกับ หลวงพ่อรุ่ง แห่งวัดท่ากระบือ สมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศน์ ให้ความเคารพนับถือท่านมาก มักจะนิมนต์ท่านไปร่วมพุทธาภิเษกวัดสุทัศน์บ่อยครั้ง “หลวงพ่ออ๋อย” มีนามเดิมว่า “อ๋อย ถาวรวยัคฆ์” เป็นชาว อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร โดยกำเนิดโดยเกิดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์
พ.ศ.2413 บิดา-มารดาชื่อ “นายเสือ-นางสำริด” ในวัยเด็กได้เข้าเรียนหนังสือไทยที่ “วัดนางสาว” โดยเรียนรู้อักษรไทยสมัยเก่าแค่อ่านออกเขียนได้คล่อง จึงกลับไปช่วยงานทางบ้านกระทั่งอายุย่างสู่ปีที่ 26 จึงอุปสมบท ณ วัดนางสาว เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2439 โดยมี “หลวงพ่อเกิด วัดนกกระจอก” เป็นอุปัชฌาย์ได้รับฉายาว่า “ยโส” โดยสมัยนั้นมีพระที่บวชวัดเดียวกันซึ่งต่อมาได้เป็นสหายทางธรรมที่สนิทสนม กันคือ “หลวงพ่อคง” หลังจากจำพรรษาอยู่ที่วัดนางสาวได้ 1 พรรษา จึงย้ายไปจำพรรษาที่ “วัดไทร บางขุนเทียน” เพื่อทำการ ศึกษาค้นคว้าพระธรรมวินัยอันเป็นข้อปฏิบัติของสงฆ์
พร้อมทั้งร่ำเรียนอักษรขอมแล้วจึงหันมาสนใจ การศึกษาด้านพุทธาคมเวทมนต์คาถา กระทั่งเชี่ยวชาญและต่อมาได้เป็นสหายทางธรรมกับ “หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ”
และมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากจึงไปมาหาสู่กันเป็นประจำโดย “หลวงพ่อรุ่ง” จะเดินทางมาหา “หลวงพ่ออ๋อย” ที่ “วัดไทร” เป็นประจำพร้อมค้างแรมครั้งละหลายคืน
เสมอเพราะ “พระคณาจารย์” ผู้เป็นสหายทางธรรมมักจะมีการแลกเปลี่ยนวิชากันนั่นเองเนื่องจาก “หลวงพ่ออ๋อย” เองเป็นชาวกระทุ่มแบนอันเป็นเขตที่ “วัดท่ากระบือ”
ของ “หลวงพ่อรุ่ง” พระคณาจารย์ทั้งสองจึงชอบพอกันเป็นพิเศษ
ประกอบกับ “หลวงพ่ออ๋อย” โด่งดังด้าน “ยาสัก” โดยใช้ “สมุนไพร” สักลงบนผิวหนังเพื่อ “รักษาโรคภัยไข้เจ็บ” ให้ชาวบ้านหายขาดอยู่เสมอจึงมีชื่อเสียงโด่งดังมาก นอกจากนี้ยังได้เป็น เจ้าอาวาสวัดไทร พร้อมได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระครูถาวรสมณวงศ์” และมรณภาพโดยความสงบขณะมีอายุ 89ปี เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ.2501 ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 11 ปีจอ จุลศักราช 1320
ในย่านบางขุนเทียน นอกจากชื่อเสียงอันเกริกไกรของหลวงปู่เอี่ยม (พระภาวนาโกศลเถระ) หรือ “เจ้าคุณเฒ่า” วัดหนังแล้ว “หลวงปู่อ๋อย วัดไทร”นับเป็นเกจิอาจารย์ดังอีกองค์หนึ่งที่มีวิทยาคมไม่เป็นสองรองใคร
ท่านเชี่ยวชาญด้านยาสัก และการเล่นแร่แปรธาตุจนสำเร็จเป็นทองคำ นาก เพชร พลอย รวมทั้งสร้างพระด้วยเนื้อผงผสมว่านต่างๆแจกลูกศิษย์
ซึ่งมีพุทธคุณยอดเยี่ยมทางเหนียว แคล้วคลาด เมตตามหานิยม สมเด็จพระสังฆราช(แพ) วัดสุทัศน์ เลื่อมใสมาก เวลาสร้างพระกริ่งและปลุกเสกคราวใดจะ
ต้องนิมนต์ท่านมาด้วยทุกครั้ง พลังจิตของท่านกล้าแข็งมาก สามารถเสกใบมะขามเป็นตัวต่อแตนได้ และเสกสิ่งของวัตถุมงคลอย่างใด ก็ล้วนแต่ขลังศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
หน้าที่การงานและสมณศักดิ์
พ.ศ.2452 เป็นเจ้าอาวาสวัดไทร และเจ้าคณะหมวดบางประทุน พ.ศ.2457 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระครูถาวรสมณวงศ์” พระครูพิเศษชั้นตรี ผู้ช่วยเจ้าคณะแขวงล่าง
พ.ศ.2472 เป็นพระอุปัชฌาย์ อยู่ในตำแหน่งได้ 29 ปี พ.ศ.2487 เลื่อนเป็นพระครูพิเศษชั้นโท ในตำแหน่งเจ้าคณะตำบลบางขุนเทียน
พ.ศ.2490 เลื่อนเป็นพระครูชั้นเอก ในตำแหน่่งผู้ช่วยเจ้าคณะอำเภอ
หลวงปู่อ๋อยท่านชอบธุดงค์เป็นชีวิตจิตใจ โดยระหว่างนั้นได้หาแร่ธาตุต่างๆที่เห็นว่าแปลกและต้องกับตำราว่ามีกฤตยานุภาพ ตลอดจนที่มีกล่าวไว้ในตำราเล่นแร่แปรธาตุ สะสมรวบรวมเอาไว้นอกจากนี้ ยังสะสมว่านต่างๆไว้มากมาย ทั้งว่านยา ว่านมหามงคล และว่านที่มีอานุภาพทางคงกระพันชาตรี โดยท่านจะนำบางอย่างมาใช้ทำเป็น “ยาสัก”อันเลื่องชื่อของท่าน
ด้วยความเป็นผู้ชอบศึกษาค้นคว้าและเป็นนักทดลอง สมัยที่ยังมีชีวิตจะเห็นตำรับตำรา เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆมากมาย และในยามว่างจากรักษาคนไข้แล้ว ท่านจะทดลองถลุงแร่ แปรธาตุต่างๆ เมื่อปฏิบัติเห็นผลแล้ว ท่านก็เลิกทำ เพราะเป็นเครื่องชักจูงให้ติดอยู่ในทางให้เกิดความโลภของลูกศิษย์
แพทย์แผนโบราณก็เป็นวิชาที่ท่านสนใจมากเช่นกัน วิชาที่รักษาโรคใดที่ยังไม่ได้เรียน ก็จะมุ่งมั่นค้นคว้าจากตำราจนสำเร็จ ทั้งนี้ การรักษาโรคด้วยยาสักมีเคล็ดอยู่ว่า “ถ้าใครไม่ขอร้องให้รักษา จงอย่าขันอาสารักษาให้”
น้ำมันมนต์ของท่านช่วยชีวิตคนที่เป็นโรคห่า (อหิวาตกโรค)ไว้มากมาย ข้าวสารเสกเลื่องลือมาก หากใครได้กินจะร่ำเรียนปัญญาดี คนบางขุนเทียนสมัยนั้นนิยมกันมาก แม้แต่คนกรุงเทพฯยังเอาไปให้ท่านเสกกันเป็นจำนวนมาก ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านเสกทรายใส่ถุงเล็กๆแจกจ่ายทหารและชาวบ้านให้ไปพกติดตัว ปรากฏว่าไม่เป็นอันตรายเลย เป็นเรื่องเล่าขานกันมาจนทุกวันนี้
สมัยนั้นตลาดน้ำวัดไทรเป็นที่ชุมนุมเรือขายของต่างๆมากมาย บางคนขึ้นมาถ่ายเบา-ถ่ายหนักท่านก็จะออกไปว่ากล่าวตักเตือนจนไม่มีใครกล้าทำ อีกเลย พระ-เณรในวัด ถ้าไม่ท่องหนังสือจะมาเดินเล่นหน้าวัดหรือบริเวณวัดไม่ได้ บางองค์ฟังวิทยุท่านก็จะบอกว่าการบันเทิงไม่ใช่กิจของสงฆ์
ท่านพูดเสียง ดังฟังชัด ชอบพูดตรงๆไม่อ้อมค้อม และชอบคนที่พูดตรงๆเช่นกัน ใบหน้าท่านเอิบอิ่ม ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ดวงตาของท่านกล้า แข็งเป็นที่เกรงกลัวกันมาก ทว่าใครก็ตามที่ได้สัมผัสใกล้ชิดแล้ว ต่างกล่าวขานถึงความเมตตาอันมากล้น โดยเฉพาะผู้ที่รอดพ้นจากความตายด้วย “ยาสัก”ของท่าน ต่างเชื่อมั่นในบารมีแห่งตัวท่านไม่เสื่อมคลาย เช่นเดียวกับผู้ที่มี “พระว่าน”หรือ” เหรียญรูปเหมือน” ของท่านติดตัวบูชา ต่างรู้ซึ่งถึงคุณค่าและพุทธคุณที่ล้ำเลิศจนน่าอัศจรรย์ใจ!!!
รอดตายเพราะแขวน “หลวงพ่ออ๋อย วัดไทร”“เหนือลิขิต?ประกาศิตฟ้าดิน?” วันนี้ขอนำท่านผู้อ่านไปพบกับเรื่องราวหนึ่งของ “สารวัตรกำนัน” ผู้หนึ่งซึ่งถูก “คนร้าย” ดักสังหารด้วยอาวุธปืนแบบ “เผาขน” แต่กระสุนปืนทั้ง
“ลูกซอง” และ “ลูกโม่.38” กลับไม่สามารถทำให้ “สารวัตรกำนัน” ผู้นี้ตายดับแต่ประการใด
และหลังเกิดเหตุแล้ว “สารวัตรกำนัน” เชื่อว่าเป็นเพราะอานุภาพแห่งวัตถุมงคลของ “หลวงพ่ออ๋อย วัดไทร” ที่เขาพกพาโดยแขวนติดคอเป็นประจำช่วยไว้เป็นแน่แท้
เนื่องจากขณะเกิดเหตุก็มีเพียงวัตถุมงคลของ “หลวงพ่ออ๋อย” เท่านั้น โดยเรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 กันยายนปี 2526 นี้เอง พร้อมกับเกิดขึ้นกับสารวัตรกำนัน “สุรินทร์ อยู่เย็น”
ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ดูแลความสงบสุขให้กับชาวบ้าน
โดยขณะเกิดเหตุ “สารวัตรกำนันสุรินทร์” มีเพียง “พระเครื่อง” ที่เป็น “พระเนื้อว่านสีแดงพิมพ์สี่เหลี่ยมปรกโพธิ์” ซึ่งเป็นวัตถุมงคลที่ “หลวงพ่ออ๋อย” แห่ง “วัดไทร บางขุนเทียน”
สร้างขึ้น
ประสบการณ์ของผู้ใช้ เหรียญ “หลวงพ่ออ๋อย” คือ “นายสะอาด พรายเพ็ชร” ที่มี “เหรียญรุ่นแรกหลังยันต์” แต่ได้ทำหายไปทั้งที่ “นายสะอาด”
หวงมากและอาราธนาพกติดกระเป๋าเสื้อ เป็นประจำ
โดยวันหนึ่งได้ทำหล่นตกลงไปใน “คลองบางขุนเทียน” ตรงบริเวณหน้าบ้าน จึงใช้ตะแกรงร่อนเผื่อจะได้คืนนานนับชั่วโมง แต่ก็หมดหวังจึงได้แต่เสียดายเหรียญนั้น กระทั่งต่อมาอีก 1 ปี
ขณะ “นายสะอาด” นั่งล้างชามอยู่ที่บันไดริมน้ำตรงที่ทำเหรียญตกหล่นไปเมื่อปีที่แล้ว ก็พบเห็น “ลูกปลาดุกขนาดเขื่องตัวหนึ่ง” ว่ายน้ำตรงเข้ามาหาเขาที่ท่าน้ำ โดยไม่มีทีท่าหวาดกลัว “นายสะอาด” เลย ซึ่งผิดวิสัยของปลาทั่วไป สร้างความสงสัยให้แก่ “นายสะอาด” อย่างยิ่ง จึงจับจ้องมองลูกปลาดุกตัวนั้นตาไม่กระพริบ
กระทั่งเมื่อลูกปลาดุกว่ายเข้ามาใกล้ เขาก็มองเห็นที่ปากของมันคาบสิ่งของมาด้วย “นายสะอาด” จึงใช้ชามค่อยๆ ช้อนลูกปลาดุกตัวนั้นขึ้นมาดู ก็พบเห็นสิ่งของที่อยู่ในปากของ
“ลูกปลาดุก” ด้วยความอัศจรรย์ใจพร้อมกับขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เพราะสิ่งของที่อยู่ในปากลูกปลาดุกนั้นก็คือ “เหรียญรุ่นแรกหลังยันต์” ที่เขาทำตกน้ำเมื่อปีที่แล้วนั่นเอง
เมื่อเห็นเช่นนั้น “นายสะอาด” จึงหยิบเหรียญขึ้นมาพิจารณาอีกที ครั้นแน่ใจว่าเป็นเหรียญที่เขาทำตกน้ำไป จึงยกมือขึ้นพนมเหนือศีรษะ พร้อมรำลึกถึง “หลวงพ่ออ๋อย”
จากนั้นนำลูกปลาดุกตัวนั้นไปเลี้ยงอย่างดี เพราะเขาประจักษ์ชัดแล้วว่าเป็นเพราะบารมีของ “หลวงพ่ออ๋อย” ที่บันดาลให้ลูกปลาดุกคาบเหรียญมาให้เขา