1104.เหรียญรุ่นแรก ครูบาทิพย์ (ครูบาติ๊บ) อุบาลี วัดหัวฝาย อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ปี13 เหรียญหายาก
ของจังหวัดสุโขทัย นานๆจะออกมาให้เห็นที 800-ครูบาขาวปี และครูบาติ๊บรุ่น 1 ออกเมื่อประมาณ 251... ต้น ๆ โดยพระครูเวฬุวัน พิทักษ์ (พระมหาเขื่อนคำ วัดพระพุทธบาทตากผ้า) เป็นผู้ออกแบบ ร่วมกับพระครูอดุลปุญญาภิรม (หลวงปู่ครูบาผัด เจ้าอาวาสวัดหัวฝาย ปัจจุบัน อายุ 90 ปี ) สร้างจำนวน 2000 เหรียญ
รุ่นนี้เป็นที่นิยมในอำเภอทุ่งเสลี่ยม และผู้เลื่อมใสศรัทธาเพราะปฏิปทาของท่านน่าเลื่อมใส ท่านฉันมังสวิรัติ ตั้งแต่วันแรกที่บรรพชาเป็นสามเรร จนกระทั่งมรณภาพด้วยวัย 75 ปี (มรณภาพ 19 ตุลาคม 2515 อายุ 75 ปี ท่านเกิด พ.ศ. 2440 )
ครูบาติ๊บ อุบาลี อดีตเจ้าอาราธิปดีสงฆ์วัดหัวฝาย
ชีวประวัติครูบาติ๊บ อุบาลี อดีตเจ้าอาวาสวัดหัวฝาย พอสังเขป เจ้าอาจารย์ติ๊บ อุบาลี เป็นคำที่ชาวบ้านตลอดทั้งศิษยานุศิษย์เรียกกัน ท่านเป็น พระสุปฏิปันโนรูปหนึ่งที่ได้พบเห็นมาและได้ปฏิบัติท่านมา ท่านเป็นพระที่มักน้อยสันโดษที่แท้จริง ท่านไม่มีความทะเยอทะยานในเรื่องลาภยศ สรรเสริญใดๆ ทั้งสิ้น เป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยอย่างมาก เปรี่ยมด้วยเมตตาบารมี พระอาจารย์ติ๊บ อุบาลี นามเดิมติ๊บ นามสกุล มณีอุด นามฉายา อุบาลี เกิด พ.ศ.๒๔๔๐ ณ บ้านผาปัง ตำบลผาปัง อำเภอเถิน(ขณะนี้เป็นอำเภอแม่พริก) จังหวัดลำปาง บิดาชื่อปั๋น มารดาชื่อ หน่อแก้ว มณีอุด มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๕ คน เป็นหญิง ๒ ชาย ๓ คือ
๑.นางจันทร์
๒.นางดิบ อุประวรรณา
๓.นายยา มณีอุด
๔. พระอาจารย์ติ๊บ อุบาลี
๕.นายใจมา มณีอุด
บิดา มารดาของพระอาจารย์ติ๊บ อุบาลี ได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่ท่านอายุยังไม่ถึง ๑๐ ขวบ ท่านได้อาศัยอยู่กับนางดิบผู้เป็นพี่สาว นับว่าท่านเป็นกำพร้าตั้งแต่เยาว์วัย ท่านเป็นคนว่านอนสอนง่ายไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับใครเป็น เกรงใจคนอื่นและเป็นคนเสงี่ยมเจียมตนเสมอ พออายุย่าง ๑๔ ปี พี่ก็นำไปฝากให้เป็นศิษย์วัด เพื่อเรียนหนังสือแบบล้านนา ณ วัดบ้านผาปังหลวง ซึ่งเป็นวัดในหมู่บ้าน พระอาจารย์ติ๊บ อุบาลีท่านเป็นคนมีเมตตามาตั้งแต่เด็ก ๆสมัยเมื่อท่านเป็นศิษย์วัด ได้มีศิษย์วัดด้วยกันชวนท่านไปจับนกตะขาบโดยใช้กับดัก ท่านก็ไปด้วยความไม่อยากจะขัดใจเพื่อน ท่านก็ไปเมื่อจับนกตะขาบได้เพื่อนๆ ก็ให้ท่านเป็นผู้ถือเพราะท่านไม่ค่อยจะร่วมทำกิจกรรมอื่นๆ เมื่อท่านถือนกก็เกิดความสงสารจึงแอบปล่อยนกไปหมด แล้วบอกเพื่อนๆ ว่านกหลุดมือไป เพื่อนๆ ชวนท่านไปจับปลาท่านก็แอบปล่อย จนเพื่อนๆไม่ชวนท่านไปอีกเลย
ต่อมาเมื่อท่านเรียนสวดมนต์ได้คล่องแล้วก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบ้านผาปังหลวงนั่นเอง โดยมีพระคำมูลเป็นเจ้าอาวาสพอวันแรกที่ท่านเป็นสามเณรท่านก็เริ่มฉันอาหารมื้อเดียว ไม่นานท่านก็ได้ไปเรียนหนังสือไทยภาคกลางและเรียนนักธรรมที่วัด ท่านางอำเภอเถิน ตามประเพณีท้องถิ่น ของอำเภอเถินพอมีสามเณรมาเรียนนักธรรมจะมีพ่อแม่อุปถัมภ์(เรียกว่าพ่อออกแม่ออก)จะนำอาหารมาส่งให้ทั้งตอนเช้าและตอนกลางวันสามเณรรูปอื่นเขามีโยมอุปถากกันหมด พระอาจารย์ติ๊บมีพ่อแม่อุปถัมภ์ช้ากว่าเขาเนื่องจาก บุคลิกที่ไม่ค่อยพูดประกอบกับหน้าตาไม่หล่อเหลาเหมือนคนอื่นเขาในที่สุดท่านก็ได้พ่อหนานป้อง แม่มา (ไม่ทราบนามสกุล)เป็นผู้อุปถัมภ์
มีเรื่องเล่าว่าพ่อหนานป้อง แม่มา เกิดความสงสัยว่า อาหารมื้อกลางวันที่ส่งให้พระอาจารย์ติ๊บ ไม่พร่องเลยคล้ายกับไม่ฉันหลายวันติดต่อกัน พ่อหนานป้องจึงถามดู ได้ความว่าพระอาจารย์ติ๊บฉันอาหารมื้อเดียว และเลือกแต่อาหารผักเท่านั้น เกิดความปลื้มปิติยินดีแก่พ่อแม่อุปถัมภ์เป็นอย่างมากถึงกับเที่ยวอวดใครต่อใครว่าสามเณรเหลือเดนที่พ่อหนานป้องรับอุปถาก นั้นเป็นเพชรในตม ที่คนอื่นมองไม่เห็น พ่อหนาน ป้องแม่มาจึงภูมิใจและเพิ่มความเอาใจใส่มากยิ่งขึ้นเป็นพิเศษ
พออยู่มา ๒ ปี ท่านก็เริ่มฉันอาหารเจ และออกปฏิบัติธรรมในที่ต่างๆ นับว่าท่านสร้างสมบารมีมามากท่านจึงทำได้ถึงเพียงนี้เพราะสมัยนั้นท่านไม่มีแบบอย่างที่ไหนมาก่อนเลย
พออายุครบ ๒๑ ปี ท่านก็อุปสมบท ณ วัดผาปังหลวง พอจำพรรษาอยู่ที่วัดผาปังหลวงได้ไม่นาน ท่านก็เดินทางไปเรียนมูลกัจจาย์สามัญญภิธานสนธิ กับครูบาหมีที่วัดเมืองหม้อ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ อยู่หลายพรรษาจนจบแล้วสามารถแปลบาลีได้ ท่านเคยจาริกติดตามครูบาเจ้าศรีวิชัยหลายปี ท่านก็แยกตัวออกมาจาริกไปจำพรรษาอยู่วัดพระนอนม่อนช้าง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ได้ ๕ พรรษา แล้วจึงกลับมาวัดผาปังบ้านเดิม
ปีพ.ศ.๒๔๗๔ ชาวบ้านผาปังประมาณ ๒๐ ครอบครัว ได้พากันอพยพมาอยู่บ้านหัวฝาย ตำบลนาทุ่ง อำเภอสวรรคโลก(สมัยนั้นยังไม่แยกเป็นอำเภอทุ่งเสลี่ยม) จังหวัดสุโขทัย ตามบรรดาชาวบ้านที่อพยบมาก่อนหน้านี้ ๕-๖ ปี ในจำนวนผู้อพยบมีนางดิบพี่สาวของท่านด้วย ท่านก็ได้อพยบมาพร้อมกับพี่สาว มาอยู่บ้านหัวฝายในปัจจุบัน สมัยนั้นบ้านหัวฝายยังเป็นป่าดงดิบเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด ชาวบ้านก็ช่วยกันถางป่า บนเนินเขาเล็กๆ ใกล้ๆหมู่บ้านเป็นที่ จำวัตรและเป็นที่ปฏิบัติของท่าน จนมาเป็นวัดหัวฝายในปัจจุบัน ท่านก็ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหัวฝายเป็นรูปแรก
สมัยนั้นในระแวกนี้ไม่มีอุปัชฌาย์กุลบุตร ที่มีความประสงค์จะบรรพชาอุปสมบทต้องไปที่อำเภอสวรรคโลก ระยะทางไกลประกอบอันตรายต่างๆนาๆเจ้าคุณสังวรสังฆปรินายก ซึ่งเป็นเจ้าคณะ จังหวัดสุโขทัย สมัยแต่งตั้งท่านเป็นอุปัชฌาย์ พอท่านทราบข่าว(ตอนนั้นท่านมีพรรษา ๑๒ พรรษา) ท่านกลัวจะเป็นการผูกมัด ด้วยยศตำแหน่งท่านจึงลาสิกขา ๗ วัน โดยนุ่งขาวห่มขาวถือศีลแปดอยู่ในวัด และก็อุปสมบทใหม่ เพื่อให้พรรษาต่ำลงจนไม่สามารถเป็นอุปัชฌาย์ได้ ท่านเป็นพระที่ไม่ชอบอยู่กับที่ท่านมักจะหาที่สงบอยู่เสมอ เช่น ในถ้ำ เช่น ถ้ำแม่กะสา ถ้ำเชิงผาและหลายๆที่ ท่านเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านเป็นจำนวนมากสมัยนั้นมีญาติโยมหลายที่นิมนต์ท่านไปเป็นประธานสร้างวัดทั้งใกล้ทั้งไกลพอที่จะเรียบเรียงได้มีดังนี้
๑. กุฏิ วิหารวัดสันหล่อ อำเภอแม่ละมาด
๒. เจดีย์ วัดผาปัง อำเภอแม่พริก
๓.เจดีย์ ถ้ำแม่กะสา อำเภอแม่สอด
๔.หอประชุม อุบาลีอุปถัมภ์ โรงเรียนบ้าหัวฝาย
แล้วก็มีวัดที่ญาติโยมนิมนต์ท่านเป็นประธานก่อตั้งวัดมีดังนี้
๑.วัดสังฆทน(แม่ทุเลา) อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๒.วัดคลองสำราญ อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๓.วัดท่วิเศษ อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๔.วัดเชิงผา อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๕.วัดต้นธงชัย อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๖.วัดชัยอุดม อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๗.วัดเขาแก้วชัยมงคล อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๘.วัดม่อนศรีสมบุรณาราม อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๙.วัดฝั่งหมิ่น อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๑๐.วัดวังธาร อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๑๑.วัดห้วยขี้นก อำเภอแม่พริก
๑๒.วัดป่าคา อำเภอศรีสัชชนาลัย
พรรษาสุดท้ายของท่าน ท่านได้ไปจำพรรษาอยู่วัดแม่จะเลา อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ได้ ๒ เดือน กับ ๑๕ วัน ก็เกิดอาพาธ คณะศรัทธา พระ เณร ได้เอาใจใส่และพยาบาลอย่างเต็มทีอาการของท่านก็ไม่ทุเลา คณะศรัทธา จึงส่งข่าวมาทางคณะศรัทธาวัดหัวฝาย ทางวัดและชาวบ้านหัวฝาย ก็ไปรับท่านมารักษาที่โรงพยาบาลศรีสังวร อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย หมอตรวจพบว่าท่านเป็นโรคขาดสารอาหารอย่างรุนแรงประกอบกับท่านชราภาพ หมอจึงขอร้องให้ท่านฉันเนื้อ ท่านก็ตอบกับหมอว่า อาตมาปฏิบัติมาตลอดชีวิต อาตมายอมตายเสียดีกว่า หมอจึงต่อรองให้ท่านฉันอาหารเจเพิ่มอีกมื้อเป็นวันละสองมื้อ ท่านก็ยังตอบเช่นเดิมว่าอาตมาปฏิบัติมาตลอดชีวิต อาตมายอมตายดีกว่า
ในที่สุดท่านก็ได้มรณะภาพ(ตามปกติครูบาติ๊บ อุบาลี ท่านมักจะปวดตามกระดุกข้อต่ออาจจะเป็นผลมาจากการฉันเจมาตั้งแต่อายุยังน้อยก็ได้เพราะสมัยนั้นท่านฉันเจแบบตามมีตามเกิดไม่เหมือนปัจจุบัน) ตรงกับวันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๕ นับอายุได้ ๗๕ ปี ๔๓ พรรษา (เริ่มนับพรรษาใหม่หลังจากที่ท่านสึกหากท่านไม่สึกก็จะ เป็น๕๕พรรษา)